คำถามเกี่ยวกับพระเจ้า
คำถามเกี่ยวกับพระเจ้า
คำถามเกี่ยวกับพระเจ้า
พระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่? มีหลักฐานอะไรบ้างที่พิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่?
คำถาม: พระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่? มีหลักฐานอะไรบ้างที่พิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่?
คำตอบ: พระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่? ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่มีคนสนใจเรื่องนี้มาก จากการสำรวจเราได้พบว่ามีคนมากกว่า 90% ในโลกนี้เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ และมีสิ่งศักดิสิทธิ์เบื้องบน แต่อย่างไรก็ตาม มันกลายเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ ที่จะต้องพิสูจน์เรื่องนี้ั สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่ามันควรเป็นเรื่องที่กลับกัน
อย่างไรก็ตาม การที่พระเจ้าทรงดำรงอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือไม่พิสูจน์ พระคัมภีร์เน้นว่าเราต้องยอมรับโดยความเชื่อว่าพระจ้าืทรงดำรงอยู่, “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6). หากพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ สิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำก็เพียงแค่ปรากฎพระองค์และพิสูจน์ให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่เท่านั้น แต่หากพระองค์ทรงทำเช่นนั้น เราก็ไม่จำเป็นจะต้องมีความเชื่อ “พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข’” (ยอห์น 20:29)
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่า ไม่มีหลักฐานว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ พระคัมภีร์ประกาศว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศสง่าราศีของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มีและไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งพลับพลาไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ ที่นั้น” (สดุดี 19:1-4) เมื่อมองดูดาว เมื่อเข้าใจถึงความไพศาลของจักรวาล ความมหัีศจรรย์ของธรรมชาติ ความงามของดวงอาทิตย์ยามอัศดง - ทั้งสิ้นเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการทรงสร้างของพระเจ้าทั้งสิ้น หากนี่ยังไม่พอ ยังมีหลักฐานอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าที่อยู่ในใจของเรา ข้อพระคัมภีร์ปัญญาจารย์ 3:11 กล่าวว่า “พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน พระองค์ทรงบรรจุโลกไว้ในจิตใจของมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะมองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่เดิมจนกาลสุดปลาย” เนื่องจากมีคนมากกว่า 98% ตลอดทั่วประวัติศาสตร์ ทั่้ววัฒนธรรม ทั่วความเจริญ ทั่วทุกทวีป เชื่อว่ามีพระอะไรสักอย่างหนึ่งที่ดำรงอยู่ - ต้องมีอะไรบางอย่าง (หรือใครบางคน) ทำให้เกิดมีความเชื่อเช่นนี้ขึ้น
ข้อโต้แย้งของพระคัมภีร์ที่ยืนยันว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ มีหลายประการที่สมเหตุสมผล ประการแรกเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตและความจริง ข้อโต้แย้งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ การใช้แนวความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าพิสูจน์การทรงดำรงอยู่ของพระองค์ โดยเริ่มจากการให้คำจำกัดความเกี่ยวกับพระเจ้าว่า “ซึ่งไม่มีอะไรเหนือไปจากนี้สามารถถือกำเนิดขึ้นมาได้” แล้วกล่าวต่อไปว่าการดำรงอยู่ดีกว่าการไม่ดำรงอยู่ ดังนั้นสิ่งมีชีวิตสูงสุดจึงต้องดำรงอยู่ เพราะฉะนั้นหากพระเจ้าไม่ได้ทรงดำรงพระชนม์อยู่ พระิองค์ก็ทรงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตสูงสุด – ซึ่งหมายความว่าข้อคิดนี้ขัดกับคำจำกัดความที่ทฤษฎีนี้ให้ไว้ข้างต้นเกี่ยวกับพระเจ้า ข้อโต้แย้งประการที่สองมาจาก ทฤษฎีที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยมีวัตถุประสงค์พิเศษ ทฤษฎีนี้โต้ว่าเนื่องจากจักรวาลได้แสดงให้เห็นถึงการออกแบบอันน่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงจะต้องมีผู้ออกแบบจากเบื้องบน ยกตัวอย่างเช่น หากโลกจะอยู่ใกล้หรือไกลจากดวงอาทิตย์อีกสักสองหรือสามร้อยไมล์ ชีวิตก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างที่เป็นอยู่ หากองค์ประกอบหลักในบรรยากาศจะแตกต่างออกไปสักสองสามเปอร์เซ็นต์จากที่เป็นอยู่ สิ่งมีชีวิตก็จะอยู่ไม่ได้ โอกาสที่โมเลกุลของโปรตีนจะเกิดขึ้นโดยบังเอินมีอยู่ 1 ใน 10243 (นั่นคือเลข 10 ตามด้วย เลข 0 243 ตัว) เซลล์หนึ่งเซลล์ ประกอบด้วยโมเลกุลของโปรตีนเป็นล้าน ๆ เซลล์
ทฤษฏีที่สามที่โต้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้า คือ ทฤษฎีความเป็นระเบียบและกฎเกณฑ์ของจักรวาล ทฤษฎีนี้บอกว่าผลทุกอย่างเกิดจากเหตุ จักรวาลและทุกสิ่งในนั้นคือผล ดังนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ก่อให้เกิดการกำเนิดและดำรงอยู่ จะต้องมีอะไรบางอย่างที่ “เป็นเหตุ” ที่เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง อะไรบางอย่างซี่ง “เป็นเหตุ” ก็คือพระเจ้านั่นเอง ข้อถกประการที่สี่เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ ทฤษฎีทางด้านคุณธรรม วัฒนธรรมทุกวัฒนธรรมในโลกมีรูปแบบของกฎเกณฑ์บางอย่าง ทุกคนมีจิตสำนึกว่าอะไรถูกอะไรผิด การฆ่า การโกหก การขโมย และการกระทำที่ผิดศีลธรรม ไม่เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ความรู้สำนึกว่าอะไรถูกอะไรผิดมาจากไหนถ้าไม่ได้มาจากพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์
นอกเหนือไปจากข้อโต้แย้งเหล่านี้แล้ว พระคัีมภีร์กล่่าวว่าผู้คนจะปฎิเสธความรู้ที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายเกี่ยวกับพระเจ้า และหันไปเชื่อการโกหกแทน ข้อพระคัมภีร์โรม 1:25 กล่าวว่า “เขาได้เปลี่ยนความจริงของพระเจ้าให้เป็นความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้สมจะได้รับความสรรเสริญเป็นนิตย์ เอเมน” นอกจากนั้นพระคัมภีร์ยังได้ประกาศว่า มนุษย์ไม่มีข้ออ้างเลยที่จะไม่เชื่ิอพระเจ้า “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย”
มีคนมากมายอ้างว่้าเขาไม่เชื่อพระเจ้าเพราะมัน “พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์” หรือ “ไม่มีข้อพิสูจน์” แต่เหตุผลที่แท้จริงก็คือ เมื่อเขายอมรับว่ามีพระเจ้า เขาจะต้องตระหนักว่าพระเจ้าคอยเฝ้ามองเขาอยู่ และเขาต้องการการให้อภัยจากพระองค์ (โรม 3:23; 6:23) หากพระเจ้าทรงดำรงอยู่ เราก็จะต้องรับผิดชอบการกระทำของเราต่อพระองค์ หากพระเจ้าไม่มีจริง เราก็สามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการโดยไม่ต้องห่วงว่าพระองค์จะทรงพิพากษาเราหรือไม่ เพื่อให้เขามีทางที่จะไม่เลือกพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ข้าพเจ้าเชื่อว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมคนมากมายในสังคมจึงยึดมั่นกับทฤษฎีวิวัฒนาการของมนุษย์อย่างเอาจริงเอาจัง พระเจ้ามีจริง และจริง ๆ แล้วข้าพเจ้ารู้ว่าทุกคนรู้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่จริง ในที่สุด การเถียงกันเพื่อที่จะไม่ยอมรับว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ คือ การเถียงกันเพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่นั่นเอง
ข้าพเจ้าขออนุญาตแสดงความเห็นข้อสุดท้ายเกี่ยวกับการทรงอยู่ของพระเจ้า ว่าข้าพเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง ข้าพเจ้ารู้เพราะข้าพเจ้าพูดกับพระองค์ทุกวัน ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ก็จริง แต่สัมผัสได้ถึงการทรงสถิตย์ของพระองค์ ข้าพเจ้าสำผัสถึงการทรงนำของพระองค์ รู้ได้ถึงความรักของพระองค์ ข้าพเจ้าปรารถนาพระคุณของพระองค์ มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้าที่ไม่มีคำตอบใดที่สามารถอธิบายได้นอกจากพระเจ้า พระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด และทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของข้าพเจ้าได้อย่างอัศจรรย์ จนกระทั่งข้าพเจ้าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากจะยอมรับและสรรเสริญการทรงอยู่ของพระองค์ สิ่งที่พูดมาทั้งหมดโดยตัวของมันเองไม่สามารถจะโน้มน้าวใจใคร (ผู้ไม่ยอมรับในสิ่งที่เป็นเรื่องง่าย ๆ และชัดเจน) ให้เชื่อได้เลย ในที่สุดแล้ว การทรงอยู่ของพระเจ้าต้องได้รับการยอมรับด้วยความเชื่อ (ฮีบรู 11:6) ความเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่การกระโดดออกไปในความมืดอย่างไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหน้า แต่เป็นการก้าวออกไปอย่างปลอดภัยสู่ห้องที่เต็มไปด้วยแสงสว่างที่มีผู้คนกว่า 90% อยู่ในนั้นแล้ว.
พระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่? มีหลักฐานอะไรบ้างที่พิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่?
พระลักษณะของพระเจ้าเป็นอย่างไร? พระเจ้าทรงเป็นแบบไหน?
คำถาม: พระลักษณะของพระเจ้าเป็นอย่างไร? พระเจ้าทรงเป็นแบบไหน?
คำตอบ: ในการพยายามตอบคำถามนี้ ข่าวดีคือมีอะไรมากมายที่เราสามารถค้นพบได้เกี่ยวกับพระเจ้า! หากผู้ที่ค้นหาคำตอบนี้จะอ่านคำตอบทั้งหมดเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับไปเปิดดูข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องที่หลังเพื่อจะได้เข้าใจมากขึ้นก็น่าจะดีกว่า การอ้างอิงข้อพระคัมภีร์เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากไม่มีพระคัมภีร์แล้ว คำตอบที่ได้ก็คงจะเป็นแต่เพียงความเห็นของมนุษย์ธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง ซึ่งโดยตัวของมันเองแล้วมักจะไม่ถูกต้องเมื่อพูดถึงการทำความเข้าใจพระเจ้า (โยบ 42:7) การที่จะบอกว่า การพยายามเข้่าใจว่าพระเจ้าทรงเป็นแบบไหนเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับเรา เป็นการพูดที่ด้อยค่าเกินไปเสียด้วยซ้ำ้ไป! การไม่พยายามเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้า ทำให้เรามีแนวโน้มที่จะ สร้าง วิ่งตาม และกราบไหว้บูชา พระเทียมเท็จอื่น ๆ ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า(อพยพ 20:3-5)
เราสามารถรู้จักพระเจ้าได้มากเท่าที่พระองค์จะทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เรารู้เท่านั้น พระลักษณะ หรือคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระองค์คืิอ “ความสว่าง” ซึ่งหมายความว่า พระองค์ทรงแสดงความเป็นพระองค์ออกมาเอง (อิสยาห์ 60:19, ยากอบ 1:17) ความจริงที่ว่าพระเจ้าไ้ด้ทรงเปิดเผยความรู้เกี่ยวกับพระองค์เป็นความจริงที่เราไม่ควรเพิกเฉย เพื่อที่จะไม่มีผู้ใดในพวกเราเข้าไม่ถึงที่อันสงบสุขของพระองค์ (ฮีบรู 4:1) การทรงสร้าง, พระคัมภีร์, และ พระวาทะที่ทรงเป็นพระเจ้า (พระเยซูคริสต์) จะช่วยให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นแบบไหน
ให้เราเริ่มด้วยการทำความเข้าใจก่อนว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้างของเรา และเราเป็นส่วนหนึ่งของการทรงสร้าง (ปฐมกาล 1:1, สดุดี 24:1) พระเจ้าตรัสว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายของพระองค์ มนุษย์อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้างขึ้นมา และได้รับสิทธิอำนาจใหัครอบครองเหนืิอสิ่งเหล่านั้น (ปฐมกาล 1:26-28) สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเกิดมีมลทินอันเนื่องมาจาก “การล้มลงในความบาป” แต่ก็ยังฉายแววของฝีพระหัตถ์ของพระองค์ให้เห็นอยู่ (ปฐมกาล 3:17-18; โรม 1:19-20) เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ทรงสร้างที่มหึมามหาศาล, ความสลับซับซ้อน, ความงาม และความเป็นระเบียบเรียบร้อย ของมัน เราสามารถสัมผัสถึงความน่ายำเกรงของพระเจ้าได้
การได้เห็นพระนามบางพระนามของพระเจ้าจะช่วยให้เรารู้ดีขึ้นว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะแบบไหน ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
เอโลฮิม - พระผู้ทรงเข้มแข็ง, พระผู้เป็นเจ้า
อโดนาย - จอมเจ้านาย, แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายและทาสผู้รับใช้ (อพยพ 4:10, 13)
เอล เำอลยอน - พระผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด, พระผู้ทรงเข้มแข็งสูงสุด (ปฐมกาล 14:20)
เอล โรอัย - พระผู้ทรงเข้มแข็งผู้ทรงเห็น (ปฐมกาล 16:13)
เอล ชัดดาย - พระเจ้าผู้ทรงพลังสูงสุด (ปฐมกาล 17:1)
เอล โอลาม - พระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่นิจนิรันดร์ (อิสยาห์ 40:28)
ยาห์เวห์ - “เราเป็น” หมายถึงการทรงดำรงอยู่ด้วยต้วของพระองค์เองชั่วนิรันดร์ (อพยพ 3:13, 14)
ให้เรามาดูกันต่อไปถึงพระลักษณะของพระเจ้า; พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์ ซึ่งหมายความว่าการดำรงอยู่ของพระองค์ไม่มีเบื้องต้น เบื้องปลาย และไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ทรงเป็นองค์อมตะ ไร้จุดจบ (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:27; สดุดี 90:2; 1 ทิโมธี 1:17) พระเจ้าทรงเป็นองค์ถาวร ซึ่งหมายถึง พระองค์ทรงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นหมาย ความว่า เราสามารถวางใจ และ เชื่อถือพระองค์ได้ (มาลาคี 3:6; กันดารวิถี 23:19; สดุดี 102:26, 27) ไม่มีใครสามารถเทียบเท่าพระเจ้าได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์ทั้งในด้านการกระทำและความเป็นตัวตนของพระองค์ พระองค์ทรงบริบูรณ์พร้อม (2 ซามูเอล 7:22; สดุดี 86:8; อิสยาห์ 40:25; มัทธิว 5:48) ไม่มีใครสามารถเข้าใจพระเจ้าได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครหยั่งถึงพระองค์ได้ ไม่มีใครตรวจค้นพระองค์ได้ พระองค์ทรงอยู่เหนือความเข้าใจทั้งสิ้นของเรา (อิสยาห์ 40:28; สดุดี 145:3; โรม 11:33,34).
พระเจ้าทรงยุติธรรม ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงไม่เข้าข้างหรือเลือกที่รักมักที่ชังใคร (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4; สดุดี 18:30) ทรงมีฤทธิอำนาจสูงสุด พระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้ตามความพอพระทัย แต่การกระทำของพระองค์จะสอดคล้องกับพระลักษณะอื่น ๆ ของพระองค์เสมอ (วิวรณ์ 19:6; เยเรมีห์ 32:17,27) พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในเวลาเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นทุกสิ่ง (สดุดี 139:7-13; เยเรมีห์ 23:23) พระเจ้าทรงสัพพัญญูญาณู ซึ่งหมายความว่าทรงรู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทรงรู้แม้กระทั่งความคิดของเราในขณะนั้น ดังนั้น เมื่อทรงรู้ทุกสิ่ง ความยุติธรรมของพระองค์จึงยุติธรรม (สดุดี 139:1-5; สุภาษิต 5:21)
พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งหมายความว่า ไม่เพียงแต่ไม่มีใครอื่นใดอีกแล้วเท่านั้น แต่ พระองค์คือผู้เดียวที่ทรงสามารถตอบสนองความต้องการส่วนลึกที่สุดและความโหยหาในหัวใจของเราได้ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงสมควรที่จะได้รับการนมัสการและความจงรักภักดี (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4) พระเจ้าทรงชอบธรรม ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงไม่สามารถและไม่มีวันเมินเฉยต่อการกระทำที่ผิดได้ ดังนั้น อันเนื่องมาจากความยุติธรรมและเที่ยงธรรมของพระองค์นี่เองที่เราทั้งหลายจะได้รับการให้อภัยบาป พระเยซูจึงทรงต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้า เมื่อทรงรับความบาปของเราไปไว้ที่พระองค์ (อพยพ 9:27; มัทธิว 27:45-46; โรม 3:21-26).
พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งหมายความว่าพระองค์เป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด; แม้เิอาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างเข้ามารวมไว้ด้วยกัน ด้วยรู้หรือไม่รู้ก็ตามที ก็ยังไม่สามารถขวางน้ำพระทัยของพระองค์ได้ (สดุดี 93:1; 95:3; เยเรมีย์ 23:20) พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ซึ่งหมายความว่าเราไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ (ยอห์น 1:18; 4:24) พระเจ้าทรงเป็นตรีเอกานุภาพ หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นสามพระภาคในพระองค์เอง ทรงเสมอเหมือนกันหมด เท่าเทียมกันหมดในฤทธิอำนาจและพระสิริ จงสังเกตุว่าในข้อพระคัมภึร์ย่อหน้าแรก “พระนาม” ที่กล่าวถึง เป็นเอกพจน์ ทั้ง ๆ ที่เป็นการกล่าวถึงพระภาคทั้งสาม คือ “พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:19; มาระโก 1:9-11) พระเจ้าทรงเป็นความสัตย์จริง ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงกลมกลืนในความเป็นพระองค์ ไม่มีใครติดสินบนพระองค์ได้ และทรงกล่าวเท็จไม่ได้ ((สดุดี 117:2; 1 ซามูเอล 15:29)
พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงห่างไกลจากมลทินทางด้านคุณธรรมทั้งปวง และทรงไม่เล่นกับมัน ความชั่วร้ายทำให้พระองค์กริ้ว พระคัมภีร์พูดถึงไฟควบคู่ไปกับความบริสุทธิ์ พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเพลิงที่เผาผลาญ (อิสยาห์ 6:3; ฮะบากุก 1:13; อพยพ 3:2,4,5; ฮีบรู 12:29) พระเจ้าทรงสง่างาม ซึ่งรวมไปถึงความดีงาม ความเมตตากรุณา และความรัก คำเหล่านี้ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความหมายของคำว่าความดีงามของพระองค์ หากไม่ใช่เพราะพระคุณของพระองค์แล้ว พระลักษณะที่เหลือคงทำให้เราเข้าถึงพระองค์ไม่ได้เป็นแน่ ขอบคุณพระเจ้าที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะรู้จักเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว (อพยพ 34:6; สดุดี 31:19; 1 เปโตร 1:3; ยอห์น 3:16; ยอห์น 17:3)
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความพยายามอย่างเจียมตนในการตอบคำถามมหึมาขนาดพระเจ้า ขอหนุนใจให้ผู้อ่านจงแสวงหาพระองค์ต่อไป (เยเรมีย์ 29:13).
พระลักษณะของพระเจ้าเป็นอย่างไร? พระเจ้าทรงเป็นแบบไหน?
พระเจ้ามีจริงหรือไม่? ฉันจะรู้แน่ ๆ ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?
คำถาม: พระเจ้ามีจริงหรือไม่? ฉันจะรู้แน่ ๆ ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?
คำตอบ: เรารู้ว่าพระเจ้ามีจริงเพราะพระองค์ทรงเิปิดเผยพระองค์เองต่อเราในสามทาง คือ ทางการทรงสร้าง, ทางพระวจนะของพระองค์, และทางพระบุตรของพระิองค์คือ พระเยซูคริสต์
หลักฐานพื้น ๆ ที่พิสูจน์ว่าพระเ้จ้ามีอยู่จริงนั้นคือ สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (โรม 1:20) “ฟ้าสวรรค์ประกาศสง่าราศีของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์” (สดุดี 19:1)
หากข้าพเจ้าเจอนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งในสนามหญ้่าแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าคงไม่คิดว่ามัน “โผล่” ขึ้นมาเองโดยไม่มีที่มาที่ไป หรือ มัีนอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด ดูจากการออกแบบของมัน ข้าพเจ้าจะต้องเดาเอาว่าจะต้องมีใครสักคนหนึ่งออกแบบมันขึ้นมา แต่ข้าพเจ้าเห็นการออกแบบที่ยิ่งใหญ่และจำเพาะเจาะจงกว่านั้นมากนักในโลกรอบ ๆ ตัวเรา การวัดเวลาของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาฬิกาข้อมืิอ แต่ขึ้นอยู่กับหัตถกิจของพระเจ้า -- การหมุนของโลก (และคุณสมบัติของกัมมันตภาพรังสีซีเซียม-133 อะตอม) จักรวาลแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ยิ่งใหญ่ และนี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีนักออกแบบผู้ยิ่งใหญ่
หากข้าพเจ้าเจอข้อความที่เข้ารหัสไว้่ ข้าพเจ้าก็จะต้องพยายามแก้ระหัสนั้นให้ได้ ข้าพเจ้าคงคิดว่าจะต้องมีใครสักคนที่เป็นสายลับที่เป็นผู้ส่ง ข่าวมา และเป็นผู้ตั้งรหัสเอาไว้ คิดดูซิว่า “รหัส” DNA ที่อยู่ในทุกเซลล์ในร่างกายของเรานั้นซับซ้อนแค่ไหน? ความซับซ้อนและวัตถุประสงค์ของมันไม่ได้แสดงให้เห็นเลยหรือว่าต้องมีสายลับสักคนหนึ่งเป็นผู้เขียนรหัสนี้ขึ้นมา
พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงสร้างโลกที่แสนสลับซับซ้อนแต่กลับกลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดีเื้่ืท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงปลูกฝังความรู้สึกอันเป็นนิรันดร์เข้าไว้ในใจของมนุษย์ทุกคนด้วย (ปัญญาจารย์ 3:11) มนุษย์มีความคิดที่ติดตัีวมาตั้งแต่กำเนิดว่าชีวิตนี้มีอะไรมากกว่าสิ่งที่ตามองเห็น มีอะไรที่เป็นอยู่เหนือกว่าการดำเนินชีวิตตามปกติประจำวัน ความสำนึกของเราเกี่ยวกับความเป็นนิรันดร์ปรากฎขึ้นมาอย่างน้อยสองทาง นั่นคือ การกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมา และการนมัสการ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนทุกเชื้อชาติศาสนาได้เห็นถึงคุณค่าทางคุณธรรมบางประการซึ่งน่าแปลกใจว่าเป็นความเห็นที่เหมือนกันหมด ยกตัวอย่างเช่น ความรักในอุดมคติเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป ในขณะที่การโกหกเป็นที่เกลียดชัง คุณค่าทางคุณธรรมที่เหมือนกันนี้ (ความเข้่าใจเหมือนกันทั่วโลกถึงสิ่งทีุ่ถูกและผิด) ชี้ให้เห็นถึงผู้มีุคุณธรรมสูงสุดผู้ใส่ความรู้สึกละอายไว้ในเรา
ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีของคนทั่วโลกจะเป็นอย่างไร ผู้คนจะสร้างระบบการนมัสการขึ้นมาอยู่เสมอ สิ่งที่พวกเขานมัสการอาจไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกถึง “พลังที่มาจากเบื้องบน” เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ที่เราปฏิเสธไม่ได้ ความอยากนมัสการของเราเกิดขึ้นตามความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมา “ตามพระฉายของพระองค์” (ปฐมกาล 1:27)
พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อเราผ่านทางพระวจนะของพระองค์ (พระคัมภีร์) ด้วยเช่นกัน ตลอดทั่วทั้งพระคัมภีร์ การดำรงอยู่ของพระเจ้าถูกพิจารณาว่าเป็นความจริงโดยประจักษฺ์พยานในตัวของมันเอง (ปฐมกาล 1:1; อพยพ 3:14) เมื่อ เบนจมิน แฟรงคลิน เขียน อัตชีวประวัติ ของเขา เขาไม่ได้เสียเวลาพยายามพิสูจน์เลยว่าเขามีตัวตน เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงไม่ได้ใช้เวลามากนักพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงมีตัวตนในหนังสือของพระองค์ คุณสมบัติของพระคัมภีร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้, คุณธรรมในนั้น และการอัศจรรย์ที่ีมีปรากฎอยู่ ควรเพียงพอที่จะรับประกันให้ผู้อ่านตรวจสอบให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้
ทางที่สามที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองก็คือโดยทางพระบุตร (พระเยซูคริสต์) (ยอห์น 14:6-11) “ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า … พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยอหฺ์น 1:1, 14) ในพระเยซูคริสต์ “สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์” (โคโลสี 2:9)
ในชีวิตที่แสนอัศจรรย์ของพระเยซู พระองค์ทรงรักษากฎบัญญัติทั้งหมดในพันธสัญญาเดิมไว้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง และทรงทำให้คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ (มัทธิว 5:17) สำเร็จเป็นจริง พระองค์ทรงทำพระราชกิจแห่งความเมตตาสงสารและการอัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วนต่อหน้าฝูงชนเป็นจำนวนมาก เพื่อพิสูจน์สิ่งที่พระองค์ตรัส และเป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ (ยอห์น 21:24-25) ต่อจากนั้น สามวันหลังจากที่ทรงถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ มีคนเป็นร้อย ๆ เห็นสิ่งเหล่านี้กับตาและสามารถยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้ (1 โครินธ์ 15:6) หลักฐานทางประวัติศาสตร์มี “ข้อพิสูจน์” มากมายว่าพระเยซูคือใคร ดังที่อัครสาวกเปาโลได้กล่าวไว้ “การเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26)
เรารู้ว่าจะต้องมีคนขี้สงสัยผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองเกี่ยวกับพระเจ้่าติดตามอ่านหลักฐานเหล่านี้อยู่ และจะมีบางคนที่ไม่ว่าจะมีหลักฐานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ (สดุดี 14:1) ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อเท่านั้น (ฮีบรู 11:6).
พระเจ้ามีจริงหรือไม่? ฉันจะรู้แน่ ๆ ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?
พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพไว้ว่าอย่างไร?
คำถาม: พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพไว้ว่าอย่างไร?
คำตอบ: สิ่งที่ยากที่สุดเกี่ยวกับแนวความคิดของคริสเตียนในเรื่องตรีเอกานุภาพคือ เราไม่มีทางที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจนพอ เรื่องเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการอธิบายว่าจะเป็นการยากยิ่งกว่าเพียงใด พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าเรามากมายเหลือคณานับ ดังนั้นเราจึงไม่ควรคาดหวังที่จะเข้าใจพระองค์อย่างเต็มที่ พระคัมภีร์สอนว่าพระบิดาทรงเป็นพระเจ้า, พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเป็นพระเจ้าเช่นเดียวกัน แล้วพระคัมภีร์ก็สอนอีกว่ามีพระเจ้าองค์เดียว ถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของแต่ละพระภาคในตรีเอกานุภาพต่อซึ่งกันและกัน, แต่สุดท้ายแล้ว, มันเป็นเรื่องเกินความเข้าใจของมนุษย์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้เป็นความจริงหรือไม่ได้มีสอนไว้ในพระคัมภีร์
แต่จงระลึกเสมอเมื่อท่านศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า คำว่า “ตรีเอกานุภาพ” ไม่ได้มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ คำ ๆ นี้เป็นคำที่ถูกนำมาใช้ในการพยายามอธิบายพระลักษณะของพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงมีสามพระภาคที่ประกอบกันเป็นหนึ่งเดียว ขอให้ท่านเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เป็นการบอกว่ามีพระเจ้าสามพระองค์ ตรีเอกานุภาพ ประกอบด้วยพระเจ้าพระองค์เดียวแต่ทรงมีสามพระภาค ไม่มีอะไรผิดที่จะใช้คำว่า “ตรีเอกานุภาพ” แม้ว่าคำ ๆ นี้จะไม่ได้มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ก็ตาม การพูดว่า “ตรีเอกานุภาพ” เป็นการพูดที่สั้นกว่าการที่จะพูดว่า “พระผู้ทรงมีสามพระภาคที่ประกอบกันเป็นหนึ่งเดียว” หากนี่ทำให้ท่านมีปัญหา จงลองพิจารณาดูว่าคำว่าปู่ก็ไม่ได้มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เช่นเดียวกัน แต่เรารู้ว่ามีคนที่เป็นปู่หลายคนในพระคัมภีร์ อับราฮัมเป็นปู่ของยาโคบ เพราะฉะนั้นขออย่าให้ท่านติดอยู่กับคำว่า “ตรีเอกานุภาพ” ที่ควรถือว่าเป็นเรื่องสำคัญคือแนวความคิดที่หมายถึงตรีเอกานุภาพมีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์จริง เมื่อพูดเกี่ยวกับคำนำจบแล้ว ตอนนี้ให้เรามาดูข้อพระคัมภีร์ที่พูดเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพกันบ้าง
1) พระเจ้ามีพระองค์เดียว: เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4; 1 โครินธ์ 8:4; กาลาเทีย 3:20; 1 ทิโมธี 2:5.
2) ตรีเอกานุภาพประกอบด้วยสามพระภาค: ปฐมกาล 1:1; 1:26; 3:22; 11:7; อิสยาห์ 6:8; 48:16; 61:มัทธิว 3:16-17; มัทธิว 28:19; 2 โครินธ์ 13:14 ในข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ ในพันธสัญญาเดิม ความรู้ทางภาษาฮีบรูช่วยได้มาก หนังสือปฐมกาล 1:1 ใช้คำว่า “เอลโลอิม” ซึ่งเป็นสรรพนามพหูพจน์ หนังสือปฐมกาล 1:26; 3:22; 11:7 และอิสยาห์ 6:8 ใช้คำว่า “เรา” ซึ่งเป็นคำสรรพนามพหูพจน์ คำว่า “เอลโลอิม” และคำว่า “เรา” หมายถึงมากกว่าสองโดยไม่ต้องสงสัย ส่วนภาษาอังกฤษมีอยู่สองรูปแบบเท่านั้น คือ เอกพจน์และพหูพจน์ ภาษาฮีบรูมีสามรูปแบบ คือ เอกพจน์, คู่, และพหูพจน์ คำว่าคู่หมายถึงสองเท่านั้น ในภาษาฮีบรูคำว่าคู่ใข้สำหรับสิ่งที่มาคู่กัน เช่น ตา, หู, และมือ คำว่า “เอลโลอิม” และคำสรรพนาม “เรา” เป็นคำพหูพจน์ – แน่นอนว่ามีความหมายมากกว่าสอง – และต้องหมายถึงสามหรือมากกว่า (พระบิดา, พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์)
ในหนังสือ อิสยาห์ 48:16 และ 61:1 พระบุตรทรงเป็นผู้ตรัส และทรงตรัสถึงพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงเปรียบเทียบข้อพระคัมภีร์อิสยาห์ 61:1 กับ ลูกา 4:14-19 แล้วท่านจะเห็นว่าพระบุตรทรงเป็นผู้ตรัส หนังสือมัทธิว 3:16-17 บรรยายถึงเหตุการณ์ในตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมา ในภาพนี้ท่านจะเห็นว่าพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพระเจ้าพระบุตรในขณะที่พระเจ้าพระบิดาทรงประกาศถึงความพอพระทัยในพระบุตร ข้อพระคัมภีร์มัทธิว 28:19 และ 2 โครินธ์ 13:14 เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพระลักษณะที่แตกต่างกันสามพระลักษณะในตรีเอกานุภาพ
3) พระลักษณะในตรีเอกานุภาพแตกต่างกันออกไปในข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ: ในพันธสัญญาเดิม คำว่า “LORD” แตกต่างกับคำว่า “Lord” (ปฐมกาล 19:24; โฮเชยา 1:4) “พระเยโฮวาห์ (LORD)” ทรงมี “พระบุตร (Son)” (สดุดี 2:7, 12; สุภาษิต 30:2-4) พระวิญาณ (Spirit) ทรงแตกต่างจาก “พระเยโฮวาห์ (LORD)” (กันดารวิถี 27:18) และจาก “พระเจ้า (God)” (สดุดี 51:10-12) พระเจ้าพระบุตร (God the Son) ทรงแตกต่างจากพระเจ้าพระบิดา (God the Father) (สดุดี 45:6-7; ฮีบรู 1:8-9) ในพันธสัญญาใหม่ หนังสือยอห์น 14:16-17 แสดงถึงตอนที่พระเยซูตรัสกับพระบิดาเกี่ยวกับการส่งพระผู้ช่วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา นี่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูไม่ได้ทรงคิดว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงพิจารณาตอนอื่น ๆ ที่พระเยซูตรัสกับพระบิดาในหนังสือพระกิตติคุณประกอบด้วย พระองค์กำลังตรัสกับพระองค์เองหรือเปล่า? ไม่เลย พระองค์ตรัสกับอีกพระภาคหนี่งในตรีเอกานุภาพ – พระบิดา – ต่างหาก
4) แต่ละพระภาคในตรีเอกานุภาพคือพระเจ้า: พระบิดาทรงเป็นพระเจ้า: ยอห์น 6:27; โรม 1:7; 1 เปโตร 1:2 พระบุตรทรงเป็นพระเจ้า: ยอห์น 1:1, 14; โรม 9:5; โคโลสี 2:9; ฮีบรู 1:8; 1 ยอห์น 5:20 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระเจ้า: กิจการ 5:3-4; 1 โครินธ์ 3:16 (ผู้ที่ทรงอยู่ในเราคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ - โรม 8:9; ยอห์น 14:16-17; กิจการ 2:1-4)
5) การจำนนซึ่งกันและกันในตรีเอกานุภาพ: พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ภายใต้พระบิดาและพระบุตร, และพระบุตรทรงอยู่ภายใต้พระบิดา นี่เป็นความสัมพันธ์ภายใน และในตรีเอกานุภาพ ไม่ได้มีการปฎิเสธความเป็นพระเจ้าของพระภาคใดพระภาคหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ความคิดที่มีความจำกัดของเราไม่อาจเข้าใจในความไม่จำกัดของพระเจ้าได้ เกี่ยวกับพระบุตร จงดู ลูกา 22:42; ยอห์น 5:36; ยอห์น 20:21; 1 ยอห์น 4:14 เกี่ยวกับพระวิญาณ จงดู ยอห์น 14:16; 14:26; 15:26; 16:7 และ ยอห์น16:13-14เป็นพิเศษ
6) งานของแต่ละพระภาคในตรีเอกานุภาพ: พระบิดาทรงเป็นแหล่งและที่มาของ: 1) จักรวาล (1 โครินธ์ 8:6; วิวรณ์ 4:11); 2) การเปิดเผยสำแดงจากเบื้องบน (วิวรณ์ 1:1); 3) ความรอด (ยอห์น 3:16-17); และ 4) งานของพระเยซูในสภาพมนุษย์ (ยอห์น 5:17; 14:10) พระบิดาทรงเป็นผู้ริเริ่มสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
พระบุตรทรงเป็นผู้ที่ช่วยให้พระบิดาปฏิบัติพระราชกิจเหล่านี้ผ่านทางพระองค์: 1) การทรงสร้างและทำนุบำรุงจักรวาล (1 โครินธ์ 8:6; ยอห์น 1:3; โคโลสี 1:16-17); 2) การเปิดเผยสำแดงจากเบื้องบน (ยอห์น 1:1; มัทธิว 11:27; ยอห์น 16:12-15; วิวรณ์ 1:1); และ 3) ความรอด (2 โครินธ์ 5:19; มัทธิว 1:21; ยอห์น 4:42) พระบิดาทรงทำสิ่งเหล่านี้ผ่านทางพระบุตร ผู้ทรงทำหน้าที่เป็นสื่อให้กับพระองค์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นสื่อให้พระบิดาทรงกระทำสิ่งต่อไปนี้: 1) การทรงสร้างและทำนุบำรุงจักรวาล (ปฐมกาล 1:2; โยบ 26:13; สดุดี 104:30); 2) การเปิดเผยสำแดงจากเบื้องบน (ยอห์น 16:12-15; เอเฟซัส 3:5; 2 เปโตร 1:21); 3) ความรอด (ยอห์น 3:6; ทิตัส 3:5; 1 เปโตร 1:2); and 4) พระราชกิจของพระเยซู (อิสยาห์ 61:1; กิจการ 10:38) สิ่งเหล่านี้พระบิดาทรงกระทำโดยฤทธิเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ไม่มีตัวอย่างไหนสมบูรณ์พอที่จะนำใช้เพื่ออธิบายเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพได้ ไข่ (หรือแอบเปิ้ล) เป็นตัวอย่างไม่ได้เพราะ เปลือก, ไข่ขาว และไข่แดงเป็นแต่ละส่วนที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นไข่ทั้งฟอง, แต่ตัวของมันเองแต่ละส่วนไม่ใช่ไข่ พระบิดา, พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ส่วนประกอบแต่ละส่วนที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นพระเจ้า แต่ แต่ละส่วนคือพระเจ้า น้ำดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีกว่า แต่ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะอธิบายภาพของตรีเอกานุภาพได้ ในแง่ที่ว่าของเหลว, ไอน้ำและน้ำแข็งเป็นองค์ประกอบของน้ำ แต่พระบิดา, พระบุตร, พระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้ทรงเป็นองค์ประกอบของพระเจ้า, แต่ แต่ละพระภาคคือพระเจ้า ดังนั้น ถึงแม้ว่าตัวอย่างเหล่านี้อาจทำให้เรามองเห็นภาพของตรีเอกานุภาพขึ้นมาได้บ้าง แต่มันก็ไม่ชัดเจนอยู่ดี เราไม่สามารถแสดงภาพพระเจ้าผู้ทรงไร้ขอบเขต ด้วยภาพที่มีขอบเขตจำกัดได้ ดังนั้นแทนที่จะจดจ่ออยู่ที่ตรีเอกานุภาพ, จงจดจ่ออยู่กับความจริงในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและธรรมชาติที่ไร้ขอบเขตของพระองค์ที่อยู่เหนือความเข้าใจของเรา “โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด คำตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้ เพราะว่า `ใครเล่ารู้จักพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาพระองค์” (โรม 11:33-34)
พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพไว้ว่าอย่างไร?
ทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคนดี ๆ?
คำถาม: ทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคนดี ๆ?
คำตอบ: ทำไมสิ่งไม่ดีจึงเกิดขึ้นกับคนดี ๆ? นี่เป็นหนึ่งในคำถามในหลักศาสนศาสตร์ที่ตอบยาก พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์, ทรงไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย, ทรงสัพพัญญูญาณ, ทรงสถิตทั่วทุกหนแห่งในเวลาเดียวกัน, ทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุด, ฯลฯ แล้วทำไมเราซึ่งเป็นมนุษย์ (ผู้ไม่ได้เป็นนิรันดร์, ไม่ได้มีเบื้องต้นเบื้องปลาย, ไม่ได้เป็นสัพพัญญูญาณ, ไม่ได้อยู่ทั่วทุกหนแห่งในเวลาเดียวกัน, ไม่ได้มีสิทธิอำนาจสูงสุด) จึงต้องคาดหวังที่จะเข้าใจทางของพระเจ้าด้วยเล่า? หนังสือโยบพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทำกับโยบได้ตามที่มันต้องการนอกจากจะเอาชีวิตของเขา แล้วปฏิกิริยาของโยบเป็นอย่างไร? “ถึงแม้พระองค์ทรงประหารข้าเสีย ข้าก็จะยังวางใจในพระองค์” (โยบ13:15) ท่านว่า “พระเยโฮวาห์ทรงประทาน และพระเยโฮวาห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเยโฮวาห์” (โยบ 1:21) โยบไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น แต่เขารู้ว่าพระเจ้าดี เขาจึงยังคงวางใจในพระเจ้าต่อไป ท่าทีของเราควรเป็นเช่นนั้นด้วย พระเจ้าดี พระองค์ทรงยุติธรรม, ทรงเปี่ยมล้นด้วยความรัก, และทรงพระเมตตา บ่อยครั้งมีอะไร ๆ เกิดขึ้นกับเราที่เราไม่เข้าใจ แต่แทนที่เราจะมามัวสงสัยความดีงามของพระเจ้า เราควรจะวางใจในพระองค์ “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น” (สุภาษิต 3:5-6)
บางทีคำถามที่น่าถามกว่านั้นคือ “ทำไมสิ่งที่ดี ๆ จึงเกิดขึ้นกับคนไม่ดี?” พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ (อิสยาห์ 6:3; วิวรณ์ 4:8) มนุษย์เป็นคนบาป (โรม 3:23; 6:23) ท่านอยากรู้ไหมว่าพระเจ้าทรงคิดเกี่ยวกับมนุษย์ว่าอย่างไร? “ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า `ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหา พระเจ้า เขาทุกคนหลงทางไปหมด เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิด เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย ปากของเขาเต็มด้วยคำแช่งด่าและคำขมขื่น เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์ และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข ในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า บัดนี้ เรารู้แล้วว่าพระราชบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติเพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกมีความผิดจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า” (โรม 3:10-18) มนุษย์ทุกคนในโลกนี้สมควรที่จะถูกโยนลงไปในบึงไฟนรกในวินาทีนี้เลยที่เดียว ทุกวินาที เรายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะพระคุณของพระเจ้า ความเลวร้ายที่แย่มาก ๆ ที่เรามีสิทธิเจอในโลกนี้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เราสมควรจะได้รับ นั่นก็คือการตกอยู่ในบึงไฟนรกชั่วนิรันดร์กาล
“แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม 5:8) แม้ว่ามนุษย์จะมีธรรมชาติบาปและความชั่วร้าย พระเจ้าก็ยังทรงรักเรา พระองค์ทรงรักเรามากพอที่จะสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่โทษบาปให้กับเรา (โรม 6:23) ทั้งหมดที่เราต้องทำคือเชื่อในพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 3:16; โรม 10:9) เพื่อที่เราจะได้รับการให้อภัยบาปและแผ่นดินสวรรค์ (โรม 8:1) สิ่งที่เราสมควรจะได้รับ = นรก, แต่สิ่งที่เราจะได้รับ = ชีวิตนิรันดร์ หากเราเพียงแต่เชื่อเท่านั้น ได้มีคนพูดเอาไว้ว่า โลกนี้คือนรกแห่งเดียวที่ผู้เชื่อจะได้เจอ, และโลกนี้คือสวรรค์แห่งเดียวที่ผู้ไม่เชื่อจะได้เจอ ดังนั้นครั้งต่อไปเมื่อเราจะถามว่า “ทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคนดี ๆ?” บางทีเราควรจะถามว่า “ทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นกับคนไม่ดี?”
ทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคนดี ๆ?
พระเจ้าทรงสร้างความบาปหรือเปล่า?
คำถาม: พระเจ้าทรงสร้างความบาปหรือเปล่า?
คำตอบ: ในตอนแรกดูเหมือนว่าหากพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง ดังนั้นพระองค์คงต้องสร้างความชั่วร้ายด้วยแน่นอน แต่มีสมมุติฐานอยู่อย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนกันเสียก่อน นั่นคือความชั่วร้ายไม่ใช่ “สรรพสิ่ง” – เช่นก้อนหิน หรือกระแสไฟฟ้า ท่านไม่สามารถมีความชั่วร้ายอยู่หนึ่งขวดได้! ถ้าจะพูดให้ถูกความชั่วร้ายคืออะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น เหมือนกับการวิ่ง ความชั่วร้ายไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง - จริง ๆ แล้วมันคือการขาดหายไปของสิ่งที่ดี ๆ นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น หลุมเป็นของจริง แต่หลุมเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีอะไรบางอย่างหายไป เราเรียกการหายไปของดินว่าหลุม – แต่หลุมจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีดิน ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง มันเป็นความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของดีทั้งสิ้น หนึ่งในสิ่งดี ๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาคือสัตว์ที่มีเสรีภาพในการเลือกแต่เพื่อที่จะให้มีการเลือกอย่างแท้จริงขึ้น พระเจ้าจึงทรงจำเป็นที่จะต้องอนุญาตให้มีอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นด้วย แล้วพระองค์จึงทรงอนุญาตให้ทูตสวรรค์และมนุษย์ที่เป็นอิสระได้เลือกสิ่งที่ดีหรือไม่ดี (ชั่วร้าย) เมื่อความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นระหว่างสิ่งที่ดี ๆ สองสิ่ง เราเรียกมันว่าความชั่วร้าย แต่มันไม่ใช่ “สรรพสิ่ง” ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา
บางทีตัวอย่างอีกสักตัวอย่างหนึ่งอาจช่วยให้ท่านเข้าใจได้ดีขึ้น หากข้าพเจ้าจะถามใครสักคนหนึ่งว่า “ในโลกนี้มีความเย็นอยู่ไหม?” - คำตอบที่ได้รับน่าจะเป็นคำตอบว่ามี แต่นี่เป็นคำตอบที่ผิด ความเย็นไม่มี ความเย็นเกิดขึ้นเพราะการหายไปของความร้อน ในทำนองเดียวกัน ความมืดไม่ได้มีอยู่ ความมืดคือการหายไปของความสว่าง ในทำนองเดียวกัน ความชั่วร้ายคือการหายไปของความดี หรือจะพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ ความชั่วร้ายคือการหายไปของพระเจ้า พระเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องทรงสร้างความชั่วร้าย เพียงแต่พระองค์ทรงอนุญาตให้ความดีหายไปเท่านั้น
ให้เราดูตัวอย่างจากโยบในหนังสือโยบบทที่ 1-2 ด้วยกัน ซาตานต้องการทำลายโยบ, และพระเจ้าทรงอนุญาตให้มันทำทุกอย่างนอกจากเอาชีวิตเขา พระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อพิสูจน์ให้ซาตานเห็นว่าโยบเป็นคนชอบธรรมเพราะความรักที่เขามีต่อพระเจ้า ไม่ใช่เพราะพระพรอย่างมากมายที่เขาได้รับจากพระเจ้า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุดและทรงเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซาตานทำอะไรไม่ได้เลยหากมันไม่ได้รับ “อนุญาต” จากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างความชั่วร้ายแต่ทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น หากพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้น มนุษย์และทูตสวรรค์คงต้องปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความจำยอม โดยไม่มีทางเลือก พระองค์ไม่ทรงมีพระประสงค์ที่จะได้ “หุ่นยนตร์” ที่ทำทุกอย่างตามที่ทรงมีพระประสงค์เพราะถูก “ลงโปรแกรม” ไว้อย่างนั้น พระเจ้าทรงอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้นเพื่อว่าเราจะได้มีอิสระอย่างแท้จริงในการเลือกว่าเราจะปรนนิบัติพระองค์หรือไม่
ท้ายที่สุด ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ที่จะทำให้เราเข้าใจอย่างแน่นอนชัดเจน เรา, ในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่มีความจำกัด, จะไม่มีวันเข้าใจพระเจ้าผู้ทรงไม่มีความจำกัดได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน (โรม 11:33-34) บางครั้งเราคิดว่าเราเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงทำเช่นนั้น แต่ในเวลาต่อมาปรากฏว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองที่เป็นนิรันดร์ แต่เรามองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของมนุษย์ ทำไมพระเจ้าจึงต้องทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ทรงรู้ว่าอาดัมและเอวาจะต้องทำบาปอันเป็นผลให้ความชั่วร้าย ความตาย และความทุกข์ยากลำบาก เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์? คำตอบที่ดีที่สุดที่ข้าพเจ้าสามารถตอบได้คือ: พระเจ้าไม่ได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะสร้างหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิดอิสระขึ้นมา พระองค์ทรงต้องอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้นเพื่อที่เราจะได้มีทางเลือกอย่างชัดเจนว่าเราจะเลือกที่จะนมัสการพระองค์หรือไม่ หากเราไม่เคยที่จะต้องทนทุกข์อยู่กับความยากลำบากและเจอกับความชั่วร้าย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสวรรค์นั้นดีเลิศแค่ไหน? พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างความชั่วร้าย แต่ทรงอนุญาตให้มีมัน หากพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น เราก็คงจะนมัสการพระองค์ด้วยความจำยอม ไม่ใช่ด้วยการเลือกของเราจากเสรีภาพของเราเอง
พระเจ้าทรงสร้างความบาปหรือเปล่า?
ทำไมพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมจึงทรงไม่เหมือนกับพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่? พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม?
คำถาม: ทำไมพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมจึงทรงไม่เหมือนกับพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่? พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม?
คำตอบ: ข้าพเจ้าเชื่อว่า หัวใจของคำถามนี้ คือ ในตอนแรกมีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเปิดเผยสำแดงพระลักษณะของพระเจ้าทั้งในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ นอกจากคำถามนี้ผู้คนยังแสดงความรู้สึกเดียวกันออกมาด้วยการกล่าวว่า: “พระเจ้าแห่งพันธสัญญาเดิมคือพระเจ้าแห่งความพิโรธ แต่พระเจ้าแห่งพันธสัญญาใหม่คือพระเจ้าแห่งความรัก” ความจริงที่ว่าพระคัมภีร์คือการเปิดเผยพระองค์เองให้เราได้รู้จักทีละน้อย ๆ ผ่านทางเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ และ ความสัมพันธ์ที่พระองค์มีต่อผู้คนตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ อาจทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมเมื่อเปรียบเทียบกับพระลักษณะของพระองค์ในพันธสัญญาใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราอ่านทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ เราก็จะเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงและพระพิโรธและความรักของพระองค์ปรากฎอยู่ในพันธสัญญาทั้งสองพันธสัญญา
ยกตัวอย่างเช่น ตลอดพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์ประกาศว่าพระองค์ทรง “เมตตา กรุณา กริ้วช้า และเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ความเมตตาและความจริง” (อพยพ 34:6; กันดารวิถี 14:18; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:31; เนหะมีบ์ 9:17; สดุดี 86:5; สดุดี 86:15; สดุดี 108:4; สดุดี 145:8; โยเอล 2:13) และในพันธสัญญาใหม่ ความรัก ความเมตตาและกรุณาของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยสำแดงมากยิ่งขึ้นโดยทางความจริงที่ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) ตลอดในพันธสัญญาเดิม เราได้เห็นพระเจ้าทรงจัดการกับคนอิสราเอลเหมือนพ่อที่รักลูก เมื่อพวกเขาเลือกที่จะทำบาปต่อพระองค์และหันมานมัสการรูปเคารพ พระเจ้าก็จะทรงตีสอนเขา แต่ทุกครั้งที่พวกเขากลับใจใหม่และหันหลังให้กับรูปเคารพ พระองค์ก็จะทรงปลดปล่อยเขา นี่เป็นวิธีเดียวกันกับที่เราได้เห็นพระองค์ทรงจัดการกับ คริสเตียนในพันธสัญญาใหม่ ยกตัวอย่างเช่นหนังสือฮีบรู 12:6 บอกว่า: “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น”
ในทำนองเดียวกัน ตลอดทั้งพันธสัญญาเดิมเราได้เห็นการพิพากษาและพระพิโรธของพระเจ้าเทลงมาเหนือคนบาปที่ไม่ยอมกลับใจใหม่ และในพันธสัญญาใหม่ เราก็ได้เห็นว่าพระเจ้ายังคง “สำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง” (โรม 1:18) หากเราจะอ่านพันธสัญญาใหม่อย่างรวดเร็วเราก็จะได้เห็นว่าพระเยซูตรัสเกี่ยวกับนรกมากกว่าสวรรค์ ดังนั้นเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงไม่เปลี่ยนแปลงเลยจากพันธสัญญาเดิมมาถึงพันธสัญญาใหม่ โดยพระลักษณะของพระองค์เองพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราอาจเห็นพระลักษณะด้านหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆมากกว่าอีกพระลักษณะหนึ่ง แต่พระเจ้าทรงไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อเราเริ่มอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างเอาจริงเอาจัง เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงไม่ได้แตกต่างกันเลยทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ แม้ว่าพระคัมภีร์จะประกอบด้วยหนังสือถึงหกสิบหกเล่ม เขียนจากสอง (หรือสาม) ทวีป ด้วยภาษาที่แตกต่างกันสามภาษา ภายใต้เวลาประมาณ 1500 ปี โดยผู้บันทึกมากกว่า 40 คน (ซึ่งมีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน) แต่ข้อความทั้งหมดสอดคล้องกันตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลย ในนั้นเราจะเห็นว่าพระเจ้าผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก เมตตาและยุติธรรม ทรงจัดการกับมนุษย์ผู้เป็นคนบาปอย่างไร ในสถานการณ์ทุกชนิด แน่นอน พระคัมภีร์คือจดหมายรักของพระเจ้าถึงมนุษย์ ความรักของพระเจ้าต่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างโดยเฉพาะมนุษย์ ปรากฏชัดเจนอยู่ทั่วพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตลอดพระคัมภีร์เราได้เห็นพระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ด้วยความรักและเมตตาให้เข้ามามีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ใช่เพราะพวกเขาสมควรจะได้รับพระกรุณานั้น แต่เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาและกรุณา ทรงกริ้วช้า และทรงมีความรักมั่นคงและความจริง แต่กระนั้นเรายังได้เห็นพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์และชอบธรรมทรงพิพากษาผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และไม่ยอมนมัสการพระองค์ แต่กลับไปนมัสการพระอื่น ๆ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา หรือรูปเคารพและพระอื่น ๆ แทนที่จะนมัสการพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว (โรม 1)
เพราะพระลักษณะอันชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระเจ้า ความบาปทั้งหมดในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต จึงต้องได้รับการพิพากษา แต่กระนั้นด้วยความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า พระองค์จึงได้ทรงเตรียมค่าไถ่บาปและทางที่มนุษย์ผู้เป็นคนบาปจะได้กลับมาคืนดีกับพระองค์เพื่อที่เขาจะได้รอดจากพระพิโรธของพระองค์ได้ เราเห็นความจริงที่แสนอัศจรรย์นี้ได้จากข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น 1 ยอห์น 4:10 “ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเราและทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา” ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงจัดเตรียมระบบการถวายบูชาเพื่อไถ่บาปไว้ แต่วิธีนั้นเป็นวิธีชั่วคราวเท่านั้นและเป็นการเล็งถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่จะเสด็จมาทรงวายพระชนม์บนกางเขนเพื่อเป็นเครื่องถวายบูชาตัวจริง พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ในพันธสัญญาเดิมได้รับการเปิดเผยสำแดงอย่างชัดเจนในพันธสัญญาใหม่
การส่งพระบุตรพระเยซูคริสต์ลงมาเพื่อสำแดงความรักที่แท้จริงของพระเจ้า ได้รับการเปิดเผยสำแดงท่ามกลางพระสิริอันบริบูรณ์ ทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ “สอนท่านให้ถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15) เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้ เราจะเห็นว่ามันคือประจักษ์พยานว่าพระเจ้าไม่ได้แตกต่างกันเลยไม่ว่าจะเป็นในพันธสัญญาเดิมหรือพันธสัญญาใหม่
ทำไมพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมจึงทรงไม่เหมือนกับพระเจ้าในพันธสัญญาใหม่? พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม?
พระเจ้าทรงเป็นความรักหมายความว่าอย่างไร?
คำถาม: พระเจ้าทรงเป็นความรักหมายความว่าอย่างไร?
คำตอบ: พระเจ้าทรงเป็นความรักหมายความว่าอย่างไร? ก่อนอื่นให้เรามาดูกันว่าพระวจนะของพระเจ้า, พระคัมภีร์, อธิบายคำว่า “ความรัก” ว่าอย่างไร ต่อจากนั้นเราจะมาดูกันสักสองสามทางว่ามันเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอย่างไร “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น” (1 โครินธ์ 13:4-8ก)
นี่คือคำจำกัดความของพระเจ้าเกี่ยวกับความรัก นี่คือพระลักษณะของพระองค์ และนี่ควรจะเป็นเป้าหมายของคริสเตียนด้วย (แม้ว่าจะต้องใช้เวลา) การสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรามีปรากฏอยู่ในข้อพระคัมภีร์ยอห์น 3:16 และ โรม 5:8 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” เราสามารถเห็นได้จากข้อพระคัมภีร์สองข้อนี้ว่ามันเป็นพระประสงค์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าที่เราจะให้เราไปอยู่กับพระองค์ที่บ้าน (สวรรค์) ชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงทำให้ทางนั้นเป็นไปได้โดยการทรงไถ่เราให้หลุดพ้นจากความบาป พระองค์ทรงรักเราเพราะทรงเลือกที่จะทำเช่นนั้น “จิตใจของเราปั่นป่วนอยู่ภายใน ความเอ็นดูของเราก็คุกรุ่นขึ้น” (โฮเชยา 11:8ข) ความรักไม่ช่างจดจำความผิด “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9)
ความรัก (พระเจ้า) ไม่มีการบังคับใจ ผู้ที่เข้ามาหาพระองค์เข้ามาเพราะความรักของพระองค์ดึงดูดให้เข้ามา ความรัก (พระเจ้า) สำแดงความเมตตาต่อทุกคน ความรัก (พระเยซู) ทำความดีให้กับทุกคนโดยไม่ลำเอียง ความรัก (พระเยซู) ไม่อยากได้ของ ๆ คนอื่น อยู่ด้วยความถ่อมโดยไม่บ่น ความรัก (พระเยซู) ไม่อวดตัวว่าเป็นใคร แม้ว่าพระองค์สามารถเอาชนะทุกคนที่ทรงเจอได้ ความรัก (พระเจ้า) ไม่เรียกร้องความเชื่อฟัง พระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกร้องความเชื่อฟังจากพระบุตร แต่ พระเยซูเต็มพระทัยที่จะเชื่อฟังพระบิดาบนสวรรค์ “แต่เราได้กระทำตามที่พระบิดาได้ทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา” (ยอห์น 14:31) ความรัก (พระเยซู) สนใจผลประโยชน์ของผู้อื่นเสมอ
คำจำกัดความสั้น ๆ ของคำว่าความรักนี้แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่ไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิตที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงให้ความสามรถที่จะรักดังเช่นที่พระองค์ทรงรักกับผู้ที่ต้อนรับพระบุตร พระเยซู เข้ามาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเขา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดู ยอห์น 1:12; 1 ยอห์น 3:1, 23, 24) มันช่างเป็นการท้าทายและเป็นสิทฺธิพิเศษอะไรเช่นนั้น!
พระเจ้าทรงเป็นความรักหมายความว่าอย่างไร?
พระเจ้ายังคงตรัสกับเราอยู่ไหมในปัจจุบัน?
คำถาม: พระเจ้ายังคงตรัสกับเราอยู่ไหมในปัจจุบัน?
คำตอบ: พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเจ้าทรงตรัสแบบมีเสียงกับผู้คนหลายครั้ง (อพยพ 3:14; โยชูวา 1:1; ผู้วินิจฉัย 6:18; 1 ซามูเอล 3:11; 2 ซามูเอล 2:1; โยบ 40:1; อิสยาห์ 7:3; เยอเรมีย์ 1:7; กิจการ 8:26; 9:15 – นี่คือตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น) ไม่มีเหตุผลตามพระคัมภีร์ว่าทำไม่พระเจ้าจึงจะไม่ตรัสกับใครคนใดคนหนึ่งในปัจจุบัน จากการที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าตรัสเป็นร้อย ๆ ครั้ง เราต้องรู้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นกว่า 4000 ปีมาแล้ว ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ การที่พระเจ้าตรัสให้เราได้ยินเสียงของพระองค์เป็นเรื่องพิเศษ ไม่ใช่เป็นกฎ ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าพระเจ้าตรัสในเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่มันไม่ได้บอกชัดเจนว่าพระองค์ตรัสด้วยพระสุรเสียงของพระองค์ หรือด้วยเสียงที่ได้ยินจากภายใน หรือเป็นความรู้สึกนึกคิดที่ฝังอยู่ในการทรงจำ
พระเจ้าตรัสกับผู้คนในปัจจุบันนี้แน่นอน ประการแรกพระองค์ตรัสกับเราทางพระวจนะ (2 ทิโมธี 3:16-17) อิสยาห์ 55:11 บอกเราว่า “คำของเราซึ่งออกไปจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น” พระคัมภีร์บันทึกพระวจนะของพระเจ้าที่มีมาถึงเรา เกี่ยวกับทุกอย่างที่เราอยากรู้เพื่อที่เราจะได้รับความรอดและใช้ชีวิตแบบคริสเตียนได้ 2 เปโตร 1:3-4 ประกาศว่า “ด้วยเห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เรา ที่จะให้มีชีวิตและมีธรรมโดยรู้จักพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความล้ำเลิศของพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยเหตุเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรม ที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์”
ประการที่สอง พระเจ้าตรัสทางความรู้สึกที่ฝังอยู่ในความทรงจำ, ทางเหตุการณ์ต่าง ๆ, และทางความคิด พระเจ้าทรงช่วยให้เรารู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก โดยทางความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของเรา (1 ทิโมธี 1:5; 1 เปโตร 3:16) พระเจ้าทรงอนุญาตให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเราเพื่อที่จะได้ทรงนำเรา, เปลี่ยนแปลงเรา และช่วยให้เราโตขึ้นฝ่ายวิญญาณ (ยากอบ 1:2-5; ฮีบรู 12:5-11) ข้อพระคัมภีร์ 1 เปโตร 1:6-7 เตือนเราว่า “ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ”
ท้ายที่สุด, ใช่แล้ว บางครั้งพระเจ้าตรัสด้วยเสียงที่ได้ยินได้กับผู้คน แต่เป็นที่น่าสงสัยว่ามันเกิดขึ้นบ่อย ๆ ตามที่คนบางคนบอกว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือ แม้แต่ในพระคัมภีร์การตรัสด้วยพระสุรเสียงของพระองค์ให้ผู้ฟังได้ยินเป็นเรื่องพิเศษ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ หากมีใครบอกว่าพระเจ้าตรัสกับเขา จงตรวจสอบกับพระคัมภีร์เสมอว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นตรงกับพระคัมภีร์หรือไม่ หากพระเจ้าจะตรัสในปัจจุบัน พระคำของพระองค์จะต้องสอดคล้องร้อยเปอร์เซ็นต์กับสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงไม่ขัดแย้งกับพระองค์เอง ข้อพระคัมภีร์ 2 ทิโมธี 3:16-17 กล่าวว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง”
พระเจ้ายังคงตรัสกับเราอยู่ไหมในปัจจุบัน?
ใครสร้างพระเจ้า? พระเจ้าทรงมาจากไหน?
คำถาม: ใครสร้างพระเจ้า? พระเจ้าทรงมาจากไหน?
คำตอบ: Bertrand Russell ผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “ทำไมข้าพเจ้าจึงไม่เป็นคริสเตียน” ว่า หากทุกสิ่งต้องมีที่มาเป็นความจริง ดังนั้นพระเจ้าก็ทรงต้องมีที่มาเช่นกัน แล้วเขาก็สรุปจากคำพูดนี้ว่าหากพระเจ้าทรงต้องมีที่มา พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า (และหากพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าก็แน่นอนว่าไม่มีพระเจ้า) คำถามนี้เป็นคำถามที่หรูขึ้นมาหน่อยจากคำถามแบบเด็ก ๆ ว่า “ใครทำพระเจ้าขึ้นมา?” แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็รู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร ดังนั้นหากพระเจ้าทรงเป็น “อะไร” บางอย่าง พระองค์ก็ทรงต้องมีที่มาเช่นกัน ใช่ไหม?
คำถามนี้มีเลศนัย เพราะมันแฝงสมติฐานที่ไม่ถูกต้องเอาไว้ว่าพระเจ้าทรงต้องมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แล้วจึงถามว่าที่นั้นอยู่ที่ไหน คำตอบคือคำถามนี้ไร้สาระ มันเหมือนกับถามว่า “สีฟ้ามีกลิ่นแบบไหน? แต่สีฟ้าไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่มีกลิ่น ดังนั้นคำถามนี้โดยตัวของมันเองมีข้อผิดพลาด ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่ทรงสร้าง หรือเกิดขึ้นมาเอง หรือถูกทำให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นหรือสร้างขึ้น - พระองค์เพียงแค่ทรงดำรงอยู่
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? รู้สิ เรารู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้จากความไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นหากจะมีช่วงเวลาสักเวลาหนึ่งที่ไม่มีอะไรดำรงอยู่เลย มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้น มันจึงไม่น่าจะไม่มีอะไรมาก่อน มันน่าจะต้องมีอะไรดำรงอยู่เสมอมา และเราเรียกสิ่งที่ดำรงอยู่นิรันดร์นั้นว่าพระเจ้า
ใครสร้างพระเจ้า? พระเจ้าทรงมาจากไหน?