คำถามเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำถามเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำถามเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
แผนการสำหรับความรอดคืออะไร?
คำถาม: แผนการสำหรับความรอดคืออะไร?
คำตอบ: คุณหิวไหม? ไม่ใช่ความหิวแบบที่ร่างกายเรียกร้อง แต่คุณเคยหิวอะไรที่มากกว่านั้นในชีวิตไหม? คุณหิวอะไรลึก ๆ ที่ไม่ว่าอะไรก็ไม่เคยทำให้คุณอิ่มได้เลยไหม? ถ้าคุณหิวแบบนี้ พระเยซูคือทางนั้น! พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวอีก และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย (ยอห์น 6:35)
คุณสับสนไหม? ดูเหมือนว่าคุณไม่เคยพบทางออกหรือรู้ว่าอะไรคือเป้าหมายในชีวิตใช่ไหม? ดูเหมือนว่ามีใครสักคนหนึ่งปิดไฟไว้แล้่วคุณหาสวิทช์ไม่เจอไหม? หากคุณมีความรู้สึกเช่นนั้น พระเยซูคือทางนั้น! พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต" (ยอห์น 8:12)
คุณเคยรู้สึกว่าประตูชีวิตของคุณถูกปิดไหม? คุณเคยลองหลาย ๆ ประตูแต่พบว่าทางออกนั้นว่างเปล่าและไร้ความหมายไหม? คุณกำลังมองหาทางไปสู่ชีวิตที่มีความหมายใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น พระเยซูคือทางนั้น! พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นประตูถ้าผู้ใดเข้าไปทางเรา ผู้นั้นจะรอด และเขาจะเข้าออก แล้วจะพบอาหาร” (ยอห์น 10:9)
ใคร ๆ ทุกคนมีแต่ทำให้คุณผิดหวังใช่หรือไม่? ความสัมพันธ์ของคุณกับคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าเป็นไปอย่างผิวเผินและว่างเปล่าไหม? ดูเหมือนว่า ใคร ๆ ก็พยายามจะฉวยโอกาสกับคุณไหม? หากเป็นเช่นนั้น พระเยซูคืิอทางนั้น! พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ….เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี และเรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา” (ยอห์น 10:11, 14)
คุณเคยสงสัยไหมว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร? คุณเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่เน่าเปื่อยหรือผุพังไปหรือไม่? บางครั้งคุณเคยสงสัยไหมว่าชีวิตมีความหมายอย่างอื่นอีกไหม? คุณอยากมีชีวิตหลังความตายไหม? หากเป็นเช่นนั้น พระเยซูคือทางนั้น! พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่เชื่อในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก และผู้ใดที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม" (ยอห์น 11:25-26)
ทางนั้นคืออะไร? ความจริงคืออะไร? ชีวิตคืออะไร? พระเยซูทรงตอบว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา" (ยอห์น 14:6)
ความหิวที่คุณสัมผัสอยู่นั้นคือความหิวฝ่ายวิญญาณ และผู้ที่จะทำให้คุณอิ่มได้ก็คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์คือผู้ที่สามารถนำความมืดออกไปได้ พระเยซูคือประตูสู่ชีวิตที่อิ่มหนำสำราญ พระเยซูคือสหายและผู้เลี้ยงที่คุณแสวงหา พระเยซูคือชีวิตทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พระเยซูคือทางไปสู่ความรอดจากบาป!
เหตุผลที่คุณรู้สึกหิว เหตุผลที่คุณรู้สึกว่าคุณหลงอยู่ในความมืด เหตุผลที่คุณไม่สามารถพบความหมายในชีวิตได้ คือ คุณถูกแยกออกจากพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าเราทุกคนทำบาป ดังนั้นเราจึงถูกแยกออกจากพระเจ้า (ปัญญาจารย์ 7:20; โรม 3:23) ความว่างเปล่าที่คุณสัมผัสอยู่ในใจ คือ การไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิต เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีความสัมพันธ์ฺกับพระเจ้า แต่เนื่องจากความบาปของเรา เราจึงถูกแยกออกจากความสัมพันธ์นั้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ความบาปของเราจะทำให้เราถูกแยกออกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์
ปัญหานี้จะแก้ไขได้อย่างไร? พระเยซูคือทางนั้น! พระเยซูทรงรับความบาปของเราไปไว้ที่พระองค์ (2 โครินธ์ 5:11) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์แทนเรา (โรม 5:8) ทรงรับการลงโทษแทนเรา สามวันหลังจากนั้นทรงฟื้นคืนพระชนม์ อันนำมาซึ่งชัยชนะเหนือความบาปและความตาย (โรม 6:4-5) พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่ออะไร? พระเยซูทรงตอบคำถามนั้นด้วยพระองค์เอง “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยอห์น 15:13) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อที่เราจะได้มีชีวิต หากเรามอบความเชื่อไว้ที่พระองค์ วางใจว่าการสิ้นพระชนม์คือการไถ่บาปให้กับเรา ซึ่งหมายความว่าความบาปทั้งสิ้นของเราได้รับการยกโทษและถูกชำระไปจนหมดสิ้นแล้ว ความหิวฝ่ายวิญญาณของเราก็จะกลายเป็นความอิ่มบริบูรณ์ แสงสว่างจะถูกเปิดออกมา เราก็จะเห็นทางที่นำไปสู่ชีวิตเต็มบริบูรณ์ แล้วเราก็จะได้รู้จักกับพระสหายและพระผู้เลี้ยงที่ดีที่แท้จริง แล้วเราก็จะได้รู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่หลังความตายซึ่งเป็นชีวิตที่ฟื้นกลับมาใหม่ในสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร์กับพระเยซู!
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 13:6)
คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”
แผนการสำหรับความรอดคืออะไร?
พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?
คำถาม: พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?
คำตอบ: “ ฉันเป็นคนดีคนหนึ่ง ดังนั้นฉันก็ไปสวรรค์ได้ ” “ โอเค ถึงแม้ฉันจะทำเรื่องไม่ดีบ้าง แต่ฉันก็ทำความดีมากกว่า ดังนั้นฉันก็ไปสวรรค์ได้ ” “ พระเจ้าไม่ส่งฉันไปลงนรก เพียงเพราะฉันไม่ได้ใช้ชีวิตตามแบบพระคัมภีร์หรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว!” “ เฉพาะคนที่เลวจริง ๆ อย่างคนที่ข่มขืนเด็ก และพวกฆาตกรเท่านั้นแหละ ที่จะต้องลงนรก ”
สิ่งข้างต้นนี้ คือคำกล่าวอ้างที่คนส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องการไปสวรรค์ แต่ความเป็นจริงก็คือ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความเท็จ ซาตานซึ่งเป็นผู้ครองโลกได้ฝังความคิดเหล่านี้ไว้ในหัวพวกเรา ซาตานและผู้ใดก็ตามที่เดินตามมัน คือศัตรูพระเจ้า ในพระธรรม (1 เปโตร 5:8) ซาตานมักปลอมตัวเป็นคนดีอยู่เสมอ ในพระธรรม ( 2 โครินธ์ 11:14) แต่มันควบคุมทุกความคิดที่ไม่ใช่ของพระเจ้า “ ซาตาน ซึ่งเป็นพระของโลกแห่งความชั่วร้ายนี้ ได้ปิดบังจิตใจของผู้ที่ไม่เชื่อให้มืดไป เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ เรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้เป็นพระฉายของพระเจ้า”ในพระธรรม (2 โครินธ์ 4:4)เป็นเรื่องโกหกที่ว่า พระเจ้าไม่สนใจกับความบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ และนรกนั้นมีไว้สำหรับ “คนเลว” เท่านั้น บาปทุกชนิดเป็นตัวกั้นเราออกจากพระเจ้า แม้กระทั่ง “การโกหกด้วยความบริสุทธิ์ใจ” มนุษย์ทุกคนล้วนมีบาป และไม่มีใครดีพอที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ด้วยตัวเองได้ ในพระธรรม (โรม 3:23) การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้ “แต่ถ้าพวกเขาได้รับความรอดโดยทางพระคุณของพระเจ้า ก็หาได้เป็นเพราะทางการประพฤติไม่ ถ้าเป็นทางการประพฤติ พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป – ได้มาเปล่า ๆ และได้แม้กระทั่งเราไม่สมควรที่จะได้รับ”ในพระธรรม (โรม 11:6) เราไม่สามารถจะทำการดีเพื่อจะเป็นทางไปสวรรค์เองได้ ในพระธรรม (ทิตัส 3:5)
“จงเข้าไปทางประตูแคบเพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก” ในพระธรรม ( มัทธิว 7:13) ถึงแม้ว่าทุกคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ในความบาป และการเชื่อและวางใจในพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นปฏิบัติกัน พระเจ้าก็จะไม่ทรงยอมให้กับข้ออ้างนี้เด็ดขาด “ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง” ในพระธรรม (เอเฟซัส 2:2)
เมื่อพระเจ้าสร้างโลกนั้น โลกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนดีทั้งสิ้น ต่อมาพระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา และให้อิสระแก่พวกเขา ดังนั้น เขาจึงเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตตาม และเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ แต่อาดัม และเอวามนุษย์คู่แรกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ได้รับการล่อลวงโดยซาตานให้ขัดคำสั่งพระเจ้า พวกเขาจึงมีความบาปซึ่งเป็นตัวแยกเขา (รวมถึงทุกคนที่เกิดมาหลังจากนั้น และพวกเราด้วยเช่นกัน) ออกจากสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และไม่สามารถอยู่ท่ามกลางความบาปได้ ในฐานะที่เราเป็นคนบาป เราไม่สามารถไปสวรรค์ได้ด้วยวิถีทางของเราเอง ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงให้มีหนทางหนึ่งขึ้น เพื่อที่เราจะได้กลับมาคืนดีกลับพระองค์ในสวรรค์ได้ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร์”ในพระธรรม (ยอห์น 3:16) “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตายแต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” ในพระธรรม (โรม 6:23) พระเยซูทรงบังเกิดมาในโลกนี้ เพื่อพระองค์จะได้สอนพวกเราถึงทางรอดนั้น และมาตายเพื่อบาปของเรา เพื่อเราจะไม่ต้องตาย และในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในพระธรรม (โรม 4:25) ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยขนะเหนือความตายของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง พระเจ้าและมนุษย์ เพื่อเราจะได้มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ เพียงแค่เรารับเชื่อ
“และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” ในพระธรรม (ยอห์น 17:3) คนส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้า แม้แต่ซาตานก็ยังเชื่อ แต่การจะได้รับความรอดนั้น เราต้องหันเข้าหาพระองค์ และสร้างสายสัมพันธ์ส่วนตัว หันหลังให้กับความบาป และติดตามพระองค์ เราจะต้องเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูในทุกสิ่งที่เรามี และทุกสิ่งที่เรากระทำ “คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน” ในพระธรรม (โรม 3:22) พระคัมภีร์สอนไว้ว่า ไม่มีทางรอดอื่นใดนอกจากทางพระคริสต์ พระเยซูตรัสไว้ในพระธรรม ยอห์น 14:6 ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”
พระเยซูทรงเป็นทางรอดเพียงทางเดียว เพราะพระองค์คือผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถชดใช้โทษจากบาปของเราได้ (โรม 6:23) ไม่มีศาสนาใดสอนถึงความบาป และผลของความบาปอย่างลึกซึ้ง ไม่มีศาสนาใดเสนอวิธีชดใช้ความบาปเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์จะทรงให้เราได้ ไม่มี “ศาสดา” ท่านใดมาจุติเป็นมนุษย์ (ยอห์น 1:1,14) ซึ่งเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้นที่หนี้แห่งความบาปจะได้รับการชดใช้ พระเยซูต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้น เพื่อพระองค์จะสามารถชดใช้บาปของเราได้ และพระองค์ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น เพื่อพระองค์จะได้ตาย ความรอดมีเพียงทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น! “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” ในพระธรรม (กิจการ 4:12)
คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”
พระเยซูทรงเป็นทางเดียวไปสู่สวรรค์หรือ?
ความรอดนั้นได้มาโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว หรือโดยความเชื่อบวกกับการประพฤติ?
คำถาม: ความรอดนั้นได้มาโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว หรือโดยความเชื่อบวกกับการประพฤติ?
คำตอบ: เรื่องนี้อาจจะเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดในการศึกษาศาสนาคริสต์ คำถามนี้ก่อให้เกิดการปฏิรูปทางศาสนา นั่นคือการแยกตัวระหว่างนิกายโปรแตสแตนท์และนิกายคาทอลิค คำถามนี้เป็นกุญแจสำคัญของความแตกต่างระหว่างคริสเตียนตามพระคัมภีร์ และกลุ่ม “คริสเตียน” อื่น ๆ ความรอดนั้นได้มาโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว หรือโดยความเชื่อบวกกับการประพฤติ? ฉันได้รับความรอดเพียงแค่เชื่อในองค์พระเยซู หรือฉันต้องเชื่อในพระเยซูและทำบางสิ่งบางอย่างร่วมด้วย?
คำถามที่ว่า เกี่ยวกับความเชื่อเพียงอย่างเดียว หรือความเชื่อบวกการกระทำนั้น ก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้น เนื่องจากการพยายามหาข้อยุติของความขัดแย้งระหว่างข้อพระคัมภีร์ โรม 3:28, 5:1 กับกาลาเทีย 3:24 และพระคัมภีร์ยากอบ 2:24 บางคนเห็นความแตกต่างระหว่างเปาโล (ความรอดนั้นได้รับโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว) และยากอบ (ความรอดนั้นได้รับโดยความเชื่อบวกการประพฤติ) ในความเป็นจริง เปาโลและยากอบไม่ได้มีความเห็นขัดแย้งกันเลย มีเพียงประเด็นเดียวที่คนเราคิดเห็นไม่ตรงกัน คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อและการประพฤติ เปาโลพูดอย่างมั่นใจว่าเรารอดโดยความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว ( เอเฟซัส 2:8-9) ในขณะที่ยากอบกลับกล่าวว่า ความรอดนั้นโดยความเชื่อบวกการประพฤติ เราจะหาคำตอบของปัญหานี้ได้โดยการสำรวจดูว่า ที่แท้แล้วยากอบกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ยากอบกำลังปฏิเสธความเชื่อที่ว่าบุคคลหนึ่งสามารถมีความเชื่อโดยไม่ต้องมีการประพฤติให้เกิดผลดีใด ๆ ( ยากอบ 2:17-18) ยากอบกำลังย้ำให้เห็นประเด็นที่ว่า ความเชื่อในพระคริสต์ที่แท้จริงจะส่งผลให้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง และประพฤติดี ( ยากอบ 2:20-26) ยากอบไม่ได้พูดว่า ความรอดได้มาโดยความเชื่อบวกกับการประพฤติ แต่เขาพูดถึงคนที่มีความเชื่อจริง ๆ ว่าคนผู้นั้นจะมีการประพฤติที่ดีในชีวิตเขาเป็นผลตามมา ถ้ามีคนอ้างว่าเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ แต่ไม่ได้ประพฤติดี ก็เท่ากับว่าเขาผู้นั้นไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริงในพระองค์ ( ยากอบ 2:14, 17, 20, 26)
เปาโลได้พูดถึงสิ่งเดียวกันนี้ในหนังสือของท่าน ผู้เชื่อควรมีผลของพระวิญญาณในชีวิต ซึ่งได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ กาลาเทีย 5:22-23 ทันทีที่เปาโลบอกพวกเราว่าเราจะได้รับความรอดโดยความเชื่อ มิใช่โดยการประพฤติ ( เอเฟซัส 2:8-9) ท่านได้บอกเราว่าเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประพฤติการดี ( เอเฟซัส 2:10) เปาโลคาดหวังถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีในชีวิตเช่นเดียวกับที่ยากอบคิด “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น!” ( 2 โครินธ์ 5:17) ยากอบและเปาโลไม่ได้มีความคิดขัดแย้งกันในการสอนเรื่องความรอด พวกเขาพูดถึงเรื่องเดียวกันแต่ในมุมมองแตกต่างกัน เปาโลย้ำในเรื่องความรอดโดยความเชื่อเท่าน้น ในขณะที่ยากอบได้เน้นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าความเชื่อในพระคริสต์จะก่อให้เกิดการประพฤติดี
ความรอดนั้นได้มาโดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว หรือโดยความเชื่อบวกกับการประพฤติ?
สวัสดิภาพนิรันดร์มาจากพระคัมภีร์หรือไม่?
คำถาม: สวัสดิภาพนิรันดร์มาจากพระคัมภีร์หรือไม่?
คำตอบ: เมื่อมนุษย์รู้จักพระคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เขาก็จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งเป็นหลักประกันความรอดนิรันดร์ของเขา พระคัมภีร์ยูดาห์ข้อ 24 กล่าวว่า “บัดนี้แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองรักษาท่านมิให้ล้มลง และทรงนำท่านให้ตั้งอยู่จำเพาะสง่าราศีของพระองค์โดยปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดีอย่างเหลือล้น” ฤทธิอำนาจของพระเจ้าสามารถคุ้มครองรักษาไม่ให้ผู้เชื่อล้มลงในความบาปได้ ทั้งนี้และทั้งนั้นมันขึ้นอยู่กับพระองค์ ไม่ใช่เรา ว่าจะทรงตั้งเราให้อยู่จำเพาะสง่าราศีของพระองค์หรือไม่ สวัสดิภาพนิรันดร์ของเรามาจากผลของการที่พระเจ้าทรงคุ้มครองรักษาเรา ไม่ใช่ผลของการคุ้มครองรักษาความรอดของเราด้วยตัวเราเอง
องค์พระเยซูคริสต์ทรงประกาศว่า “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น และแกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดสามารถชิงแกะนั้นไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้” (ยอห์น 10:28-29ข) ทั้งพระเยซูและพระบิดาทรงจับเราไว้แน่นในพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วใครเล่าจะสามารถดึงเราออกจากพระหัตถ์ที่ยึดแน่นของทั้งพระบิดาและพระบุตรได้?
เอเฟซัส 4:30 บอกเราว่าผู้เชื่อถูก “ประทับตราหมายไว้จนถึงวันที่ทรงไถ่ให้รอด” หากผู้เชื่อไม่มีสวัสดิภาพนิรันดร์ การประทับตราก็ไม่สามารถจะยืนยาวไปถึงวันแห่งการทรงไถ่ได้ มันคงไปถึงแค่วันที่เราเริ่มทำบาป, มีความเชื่อที่บิดเบือนไป, หรือไม่เชื่อ ยอห์น 3:15-16 บอกเราว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะ “มีชีวิตนิรันดร์” หากเราได้รับสัญญว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่ไป ๆ มา ๆ ถูกเรียกคืน สัญญานั้นก็ไม่ใช่สัญญา “นิรันดร์” ตั้งแต่ต้นแล้ว หากสวัสดิภาพนิรันดร์ไม่เป็นความจริง พระสัญญาเกี่ยวกับขีวิตนิรันดร์ในพระคัมภีร์ก็คงจะเป็นข้อผิดพลาดแน่นอน
ข้อยืนยันที่หนักแน่นเกี่ยวกับสวัสดิภาพนิรันดร์มาจากข้อพระคัมภีร์โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” สวัสดิภาพนิรันดร์ของเราขึ้นอยู่กับความรักของพระเจ้าที่มีต่อผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ไว้ สวัสดิภาพนิรันดร์ของเราถูกซื้อมาโดยพระคริสต์, โดยพระสัญญาจากพระบิดา, และประทับตราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
สวัสดิภาพนิรันดร์มาจากพระคัมภีร์หรือไม่?
เมื่อรอดแล้วเราจะรอดตลอดไปหรือไม่?
คำถาม: เมื่อรอดแล้วเราจะรอดตลอดไปหรือไม่?
คำตอบ: เมื่อคน ๆ หนึ่งได้รับความรอดแล้ว เขาจะรอดตลอดไปหรือไม่? เมื่อมีคนเข้ามารู้จักกับพระคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เขาจะถูกนำเข้ามาให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งเป็นหลักประกันความรอดตลอดไปสำหรับเขา มีข้อพระคัมภีร์มากมายหลายข้อยืนยันความจริงนี้ (ก) โรม 8:30 กล่าวว่า “ยิ่งกว่านั้นบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ได้ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีสง่าราศีด้วย” ข้อพระคัมภีร์นี้บอกเราว่าตั้งแต่วินาฑีที่พระเจ้าได้ทรงเลือกเราไว้ ดูเหมือนว่าเราจะได้รับสง่าราศีจำเพาะพระพักตร์ของพระองค์บนสวรรค์ทันที ไม่มีอะไรที่จะขวางผู้เชื่อไว้จากสง่าราศีได้ เพราะพระเจ้าได้ทรงตั้งพระทัยไว้เช่นนั้นแล้วบนสวรรค์ ในทันทีที่ผู้เชื่อได้รับการตัดสินว่าเป็นคนชอบธรรม ความรอดของเขาได้รับการรับรองทันที - สถานภาพของเขาจะมั่นคงเหมือนเขาได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้วทีเดียว
(ข) ท่านอาจารย์เปาโลถามคำถามสำคัญสองคำถามในหนังสือโรม 8:33-34 “ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทำให้เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงวายพระชนม์ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ และทรงประทับอยู่ ณ. เบื้องขวาของพระเจ้าและกำลังทรงอธิษฐานเผื่อพวกเรา” ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้แล้ว? ไม่มีใคร เพราะพระคริสต์คือทนายของเรา ใครจะพิพากษาเราได้? ไม่มีใคร เพราะพระคริสต์ผู้เป็นผู้เดียวที่ทรงวายพระชนม์เพื่อเราคือผู้พิพากษา เรามีทั้งทนายและผู้พิพากษาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
(ค) ผู้เชื่อได้รับการบังเกิดใหม่ (สร้างขึ้นมาใหม่) เมื่อเขารับเชื่อ (ยอห์น 3:3; ทิตัส 3:5) การที่คริสเตียนจะสูญเสียความรอดได้เขาจะต้องถูกถอดออกจากการบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์ไม่ได้มีหลักฐานแสดงว่าการบังเกิดใหม่จะถูกยึดคืนได้ (ง) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับผู้เชื่อทุกคน (ยอห์น 14:17; โรม 8:9) และทรงให้บัพติศมาผู้เชื่อทุกคนให้เข้าเป็นกายอันเดียวกันกับพระคริสต์ (1 โครินธ์ 12:13) ดังนั้นสำหรับผู้เชื่อที่จะสูญเสียความรอดได้ พระวิญญาณบบริสุทธ์ะต้องถูก “ถอดออกไป” จากเขาและเขาจะต้องถูกตัดออกจากพระกายของพระคริสต์
(จ) ยอห์น 3:15 กล่าวว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะ “มีชีวิตนิรันดร์” หากท่านเชื่อในพระคริสต์วันนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์, แต่สูญเสียมันไปพรุ่งนี้, ชีวิตนิรันดร์ก็ไม่ได้เป็น “นิรันดร์” จริงตามความหมาย ดังนั้น หากท่านต้องสูญเสียชีวิตนิรันดร์, พระสัญญาในพระคัมภีร์เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ก็ต้องเป็นความผิดพลาด (ฉ) สำหรับคำตอบที่สมบูรณ์ ข้าพเจ้าคิดว่าพระคัมภีร์กล่าวไว้ได้ดีที่สุด “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือผู้มีบรรดาศักดิ์ หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งอื่นใดๆที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (โรม 8:38-39) จงจำไว้ว่าพระเจ้าผู้ทรงช่วยท่านให้รอดคือพระเจ้าองค์เดียวกับพระเจ้าผู้ทรงดูแลรักษาท่านอยู่ ดังนั้นเมื่อเรารอดแล้วเราก็จะรอดตลอดไป ความรอดของเราถูกรับประกันไว้แล้วชั่วนิรันดร์
เมื่อรอดแล้วเราจะรอดตลอดไปหรือไม่?
ฉันจะมั่นใจในความรอดของฉันได้อย่างไร?
คำถาม: ฉันจะมั่นใจในความรอดของฉันได้อย่างไร?
คำตอบ: ท่านจะรู้แน่นอนได้อย่างไรว่าท่านรอดแล้ว? จงดูข้อพระคัมภีร์ 1 ยอห์น 5:11-13: “และพยานหลักฐานนั้นก็คือว่า พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์ให้เราทั้งหลาย และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์” ใครคือผู้ที่มีพระบุตร? เขาเหล่านั้นคือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์ และต้อนรับพระองค์ (ยอห์น 1:12) หากท่านมีพระเยซู ท่านก็มีชีวิต – ชีวิตนิรันดร์ - ไม่ใช่ชีวิตชั่วคราว แต่เป็นนิตย์นิรันดร์
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เรามั่นใจในความรอดของเรา เราไม่สามารถจะเป็นคริสเตียนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงสัยและกังวลทุกวันว่าเรารอดแล้วจริง ๆ หรือไม่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพระคัมภีร์จึงแสดงให้เราเห็นถึงแผนการแห่งความรอดอย่างชัดเจน จงเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วท่านจะได้รับความรอด (ยอห์น 3:16; กิจการ 16:31) ท่านเชื่อไหมว่าพระเยซูคริสต์คือพระผู้ช่วยให้รอด ว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปให้กับท่าน (โรม 5:8; 2 โครินธ์ 5:21)? ท่านวางใจในพระองค์แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่สำหรับความรอด? หากคำตอบคือใช่ ท่านก็รอดแล้ว! ความมั่นใจคือ “ไม่มีข้อสงสัย” เมื่อท่านรับพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในใจ ท่านก็จะ “ไม่มีข้อสงสัย” เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ของท่านอีกต่อไป
พระเยซูคริสต์เองตรัสเกี่ยวกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่า “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้ พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดอาจชิงแกะนั้นไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้” (ยอห์น 10:28-29) ข้อพระคัมภีร์นี้ย้ำให้เห็นถึง“ความเป็นนิรันดร์” มากขึ้น ชีวิตนิรันดร์ก็เป็นแบบนั้น – คือมีความเป็นนิรันดร์ ไม่มีใคร, แม้แต่ตัวท่านเองก็ตาม, ที่สามารถจะแย่งพระคริสต์ผู้ทรงเป็นของประทานแห่งความรอดจากพระเจ้าไปจากท่านได้
จงจำข้อความเหล่านี้ไว้ให้ดี เราเก็บพระวจนะของพระเจ้าไว้ในใจของเรา เพื่อว่าเราจะไม่ทำบาปต่อพระองค์ (สดุดี 119:11) ซึ่งรวมไปถึงความสงสัยด้วย จงมีความร่าเริงยินดีในสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสกับท่าน: นั่นคือแทนที่จะสงสัย ท่านสามารถมั่นใจได้! เราสามารถมั่นใจในพระวจนะซึ่งมาจากพระคริสต์เอง ว่าความรอดของเรานั้นไม่เคยจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องสงสัย ความมั่นใจของเราเกิดจากความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ยูดา 24-25 กล่าวว่า “ ขอพระเกียรติ พระอานุภาพ ไอศวรรย์ และศักดานุภาพ จงมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองรักษาท่านมิให้ล้ม และทรงนำท่านให้ตั้งอยู่เฉพาะพระสิริของพระองค์ ให้ปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดี คือแด่พระเจ้าองค์เดียว พระผู้ช่วยให้รอดของเราโดยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งในอดีตกาล ปัจจุบันกาล และในกาลต่อๆไปเป็นนิตย์ อาเมน”
ฉันจะมั่นใจในความรอดของฉันได้อย่างไร?
การชดเชยบาปแทนคืออะไร?
คำถาม: การชดเชยบาปแทนคืออะไร?
คำตอบ: “การชดเชยบาปแทน” หมายถึงความจริงที่ว่าพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ในฐานะตัวแทนของคนบาปทุกคน พระคัมภีร์สอนว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป (จงอ่านข้อพระธรรมโรม 3:9-18 และ โรม 3:23) ค่าจ้างของความบาปคือความตาย ข้อพระธรรมโรม 6:23 กล่าวว่า “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
ข้อพระคัมภีร์นี้สอนเราหลายอย่าง นั่นคือ เราทุกคนจะต้องตายแน่นอนและจะต้องตกอยู่ในนรกตลอดไปเพื่อชดเชยบาปที่เราได้กระทำลงไป ความตายที่ข้อพระคัมภีร์กล่าวถึงคือ “การถูกแยกออก” แน่นอนเราทุกคนจะต้องตาย แต่บางคนเมื่อตายแล้วจะได้ไปสวรรค์และอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชั่วนิรันดร์ ในขณะที่บางคนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในนรกชั่วนิรันดร์เช่นกัน ความตายในที่นี้หมายถึงชีวิตในนรก แต่ประการที่สองที่ข้อพระคัมภีร์นี้สอนเราคือ พระเยซูคริสต์สามารถประทานชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ให้เราได้ โดยการทรงเป็นผู้ชดเชยบาปแทนเรา
พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แทนเราเมื่อทรงถูกตรึงบนกางเขน เราควรจะเป็นผู้ที่ถูกตรึงและตายบนกางเขนนั้นเพราะเราคือผู้ที่มีชีวิตอยู่ในความบาป แต่พระคริสต์ทรงรับโทษนั้นมาไว้ที่พระองค์แทนเรา “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นความบาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 โครินธ์ 5:21) พระองค์ทรงเข้ามาแทนที่เราเพื่อทรงรับสิ่งที่เราสมควรจะได้รับ
“พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์ ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายจากบาปได้ และดำเนินชีวิตตามความชอบธรรม ด้วยบาดแผลของพระองค์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย” (1 เปโตร 2:24) จากข้อพระคัมภีร์นี้เราก็ได้เห็นอีกว่าพระคริสต์ทรงรับเอาความบาปของเราไปไว้ที่พระองค์เพื่อชดใช้บาปแทนเรา ข้อพระคัมภีร์ถัดมากล่าวว่า “ด้วยว่า พระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายกายพระองค์จึงสิ้นพระชนม์ แต่ฝ่ายวิญญาณทรงคืนพระชนม์” (1 เปโตร 3:18) ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสอนเราเกี่ยวกับว่าพระคริสต์ทรงเข้ามาเป็น “ตัวแทน” ของเรา แต่สอนว่าพระองค์ทรงเป็น “เครื่องไถ่บาป” ด้วย ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงชำระหนี้แห่งความบาปทั้งหมดของมนุษย์ที่ติดค้างอยู่แทนเรา
ข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งที่พูดเกี่ยวกับ “การชดเชยบาปแทน” อยู่ในหนังสืออิสยาห์ 53:5 ข้อพระคัมภีร์นี้พูดเกี่ยวกับพระคริสต์ผู้ที่จะเสด็จมาและจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้กับเรา ข้อพระคัมภีร์บอกไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียด และการทรงถูกตรึงบนกางเขนก็ได้เกิดขึ้นจริงดังคำพยากรณ์ จงสังเกตคำพูดในข้อพระคัมภีร์นี้ “แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้นตกแก่ท่าน ที่ต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” จงสังเกตการเข้ามาแทนที่ของพระองค์ นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นว่าพระคริสต์ทรงจ่ายหนี้แทนเรา!
เราไม่สามารถจ่ายค่าชดใช้ความบาปของเราเองได้ หรือหากทำได้ ก็คงหมายความว่าเราต้องถูกลงโทษและถูกส่งไปยังบึงไฟนรกและอยู่ที่นั่นชั่วนิรันดร์แน่นอน แต่พระคริสต์ทรงเป็นฝ่ายริเริ่มด้วยการเสด็จมายังโลกในสภาพพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เพื่อจ่ายค่าจ้างแห่งความบาปแทนเรา เนื่องจากการกระทำของพระองค์เพื่อเรา เราจึงไม่เพียงแต่จะมีโอกาสได้รับการยกโทษบาปเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระองค์อีกด้วย เพื่อที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เราต้องเชื่อในสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงกระทำบนกางเขน เราช่วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีคนที่เข้ามารับหน้าที่แทนเรา
การชดเชยบาปแทนคืออะไร?
ผู้คนได้รับความรอดอย่างไรก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปให้กับเรา?
คำถาม: ผู้คนได้รับความรอดอย่างไรก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปให้กับเรา?
คำตอบ: ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป, ความรอดของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการวายพระชนม์ของพระคริสต์ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาก่อนการถูกตรึงบนกางเขน หรือตั้งแต่การถูกตรึงบนกางเขนเป็นต้นมา, ไม่มีใครรอดได้โดยปราศจากเหตุการณ์สำคัญนี้ในประวัติศาสตร์โลก, การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เป็นการจ่ายค่าชดเชยความบาปของธรรมิกชนในสมัยพันธสัญญาเดิม และความบาปในอนาคตของธรรมิกชนในสมัยพันธสัญญาใหม่
ข้อเรียกร้องโดยตลอดมาเกี่ยวกับความรอดคือความเชื่อ เป้าหมายของความเชื่อเกี่ยวกับความรอดคือพระเจ้าเสมอ ผู้เขียนสดุดีได้เขียนไว้ว่า “ความสุขเป็นของคนทั้งหลายผู้เข้ามาลี้ภัยในพระองค์” (สดุดี 2:12) ปฐมกาล 15:6 บอกเราว่าอับราฮัมเชื่อพระเจ้า และนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับพระเจ้าในการทรงนับว่าท่านเป็นคนชอบธรรม (ดูโรม 4:4-8 ประกอบด้วย) การถวายบูชาไถ่บาปในพันธสัญญาเดิมไม่สามารถลบความบาปออกไปได้ หนังสือฮีบรู 9:1-10:4 สอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน แต่มันเล็งไปถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้าจะทรงหลั่งพระโลหิตเพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติผู้เป็นคนบาปทั้งปวง
สิ่งที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็คือสิ่งที่ผู้เชื่อยึดมั่นอยู่ในขณะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ผู้เชื่อยึดถือขึ้นอยู่กับขนาดของการเปิดเผยสำแดงของพระองค์ต่อมนุษย์ในขณะนั้น ซึ่งเป็นการเปิดเผยสำแดงเป็นขั้นตอนแบบค่อยเป็นค่อยไป อาดัมเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงให้ไว้ในหนังสือปฐมกาล 3:15 ว่าเชื้อสายของหญิงนั้นจะมีชัยชนะเหนือมารซาตาน อาดัมเชื่อพระองค์และ ความเชื่อของเขาถูกแสดงออกด้วยการที่เขาตั้งชื่อให้หญิงนั้นว่าเอวา (ข้อ 20) และพระเจ้าทรงแสดงการยอมรับในทันทีด้วยการทรงสวมใส่เสื้อคลุมที่ทรงทำด้วยหนังสัตว์ให้เขาทั้งสอง (ข้อ 21) ตรงจุดนั้นนั่นคือทั้งหมดที่อาดัมรู้ แต่เขาก็เชื่อ
อับราฮัมเชื่อพระเจ้าตามพระสัญญาและการเปิดเผยสำแดงใหม่ที่พระองค์ทรงสำแดงกับเขาในหนังสือปฐมกาลข้อ 12 และ 15 ในยุคก่อนโมเสสยังไม่มีการบันทึกพระคัมภีร์ แต่มนุษย์มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดง ตลอดพันธสัญญาเดิม ผู้เชื่อได้รับความรอดเพราะพวกเขาเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงจัดการปัญหาความบาปให้กับพวกเขา ในวันนี้ เรามองย้อนกลับไปด้วยความเชื่อว่าพระองค์ได้ทรงจัดการกับความบาปของเราแล้วที่กางเขนนั้น (ยอห์น 3:16; ฮีบรู 9:28)
แล้วผู้เชื่อในสมัยพระคริสต์เล่า ก่อนที่พระองค์จะทรงถูกตรึงบนการเขนและฟื้นคืนพระชนม์ พวกเขาเชื่ออะไร? พวกเขาเข้าใจภาพรวมของการสิ้นพระชนม์บนกางเขนของพระคริสต์เพื่อไถ่บาปให้กับพวกเขาไหม? ในช่วงสุดท้ายของพันธกิจของพระองค์ “พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ และพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ จนต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่” (มัทธิว 16:21) แล้วสาวกมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำตรัสนี้ “ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์ทูลท้วงว่า "พระองค์เจ้าข้า ให้เหตุการณ์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด อย่าให้เป็นอย่างนั้นแก่พระองค์เลย"” (16:22) เปโตรและสาวกคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจความจริงทั้งหมด แต่พวกเขาก็รอดเพราะพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงจัดการกับปัญหาความบาปของพวกเขาได้ พวกเขาไม่รู้ว่าพระองค์จะทำให้สำเร็จได้อย่างไร ซึ่งไม่ต่างจากอาดัม, อับราฮัม, โมเสส หรือดาวิด แต่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า
ในปัจจุบัน เราได้เห็นการเปิดเผยสำแดงมากกว่าผู้คนในอดีตที่มีชีวิตอยู่ก่อนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ เราได้เห็นภาพรวมทั้งหมด “ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษของเราทางพวกผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร” (ฮีบรู 1:1-2) ความเชื่อของเรายังคงขึ้นอยู่กับการวายพระชนม์ของพระคริสต์ ข้อกำหนดสำหรับความรอดยังคงเป็นความเชื่อของเราอยู่เสมอ และที่หมายของความเชื่อของเราก็ยังคงเป็นพระเจ้าอยู่นั่นเอง ในปัจจุบันความเชื่อของเรา คือ เราเชื่อว่าพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อชำระบาปให้กับเรา พระองค์ทรงถูกฝัง และทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาในวันที่สาม (1 โครินธ์ 15:3-4)
ผู้คนได้รับความรอดอย่างไรก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปให้กับเรา?
เกิดอะไรขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีโอกาสได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู? พระเจ้าจะลงโทษคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไหม?
คำถาม: เกิดอะไรขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีโอกาสได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู? พระเจ้าจะลงโทษคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไหม?
คำตอบ: คนทุกคนต้องรายงานตัวต่อพระเจ้าไม่ว่าเขาจะ “ได้ยินเกี่ยวกับพระองค์” หรือไม่ พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์อย่างชัดเจนผ่านทางธรรมชาติ (โรม 1:20) และในจิตใจของมนุษย์ ปัญหาคือมนุษย์เป็นคนบาป เราทั้งหลายปฏิเสธที่จะรู้จักกับพระเจ้า และขัดขืนพระองค์ (โรม 1:21-23) หากไม่ใช่เพราะพระคุณของพระเจ้าแล้ว พระองค์คงจะปล่อยให้เราทำตามใจบาปตามความปรารถนาของเราเอง และปล่อยให้เราพบว่าชีวิตที่อยู่ห่างจากพระองค์เป็นชีวิตที่ใช้การไม่ได้และหาดีไม่ได้อย่างไร นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงทำกับผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ (โรม 1:24-32)
ตามความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับว่ามีบางคนไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพระเจ้า แต่ปัญหาคือพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่ได้ยินและสิ่งที่ปรากฏชัดเจนในธรรมชาติ เฉลยธรรมบัญญัติ 4:29 ประกาศว่า “แต่ ณ ที่นั่นแหละท่านทั้งหลายจะแสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ถ้าพวกท่านค้นหาพระองค์ด้วยสุดจิตและสุดใจ พวกท่านจะพบพระองค์” ข้อพระคัมภีร์นี้สอนหลักการสำคัญคือ: ทุกคนที่ค้นหาพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจก็จะพบพระองค์ หากคน ๆ นั้นปรารถนาที่จะได้รู้จักกับพระเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์ก็จะทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์เองให้เขาได้รู้จัก
ปัญหาคือ “ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า” (โรม 3:11) ผู้คนปฏิเสธที่จะรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยสำแดงพระองค์ผ่านทางธรรมชาติและในจิตใจของเขา และตัดสินใจที่จะนมัสการ “พระ” ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง มันเป็นเรื่องโง่มากที่จะมาถกเถียงกันถึงความยุติธรรมของพระเจ้าในการส่งคนที่ไม่มีโอกาสได้ยินพระกิตติคุณแห่งพระคริสต์ไปลงนรก ผู้คนต้องมีความรับผิดชอบต่อพระเจ้าสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเปิดเผยสำแดงต่อพวกเขา พระคัมภีร์บอกว่าผู้คนปฏิเสธ ไม่ยอมรับความรู้นี้ ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงยุติธรรมที่ทรงพิพากษาส่งพวกเขาไปยังบึงไฟนรก
แทนที่จะมาเถียงกันเกี่ยวกับชะตากรรมของผู้ที่ไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณ เราในฐานะคริสเตียนควรทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้ยิน เราถูกเรียกให้ประกาศพระกิตติคุณให้กับทุกบรรดาประชาชาติ (มัทธิว 28:19-20; กิจการ 1:8) ความจริงที่ว่าเรารู้ว่าผู้คนปฏิเสธที่จะรู้จักกับพระเจ้าผ่านทางธรรมชาติที่พระองค์ทรงเปิดเผยสำแดง ต้องกระตุ้นให้เราประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์มากขึ้น โดยการยอมรับพระกิตติคุณแห่งพระคุณของพระเจ้าผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้นผู้คนจึงจะรอดจากความบาปของเขา และได้รับการช่วยกู้ให้พ้นจากบึงไฟนรกเพราะถูกแยกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์
หากเราคิดเอาเองว่าผู้ที่ไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณจะได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า เราจะเจอปัญหาใหญ่แน่นอน หากคนที่ไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณได้รับความรอดแล้วละก็ … เราควรแน่ใจว่าจะต้องไม่ให้ใครได้ยินพระกิตติคุณเลย สิ่งที่แย่ที่สุดที่เราสามารถจะทำได้คือแบ่งปันพระกิตติคุณกับใครสักคนหนึ่งเพื่อให้เขาปฏิเสธมันเสีย แต่หากเราทำเช่นนั้นจริงเขาก็จะต้องถูกลงโทษ คนที่ไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณจะต้องถูกลงโทษ ไม่เช่นนั้นการประกาศพระกิตติคุณก็ไม่มีความหมาย ทำไมเราจะต้องเสี่ยงให้คนปฏิเสธพระกิตติคุณเพื่อให้เขาถูกลงโทษ – ในเมื่อก่อนหน้านั้นเขาก็รอดอยู่แล้วเพราะไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณเลย?
เกิดอะไรขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีโอกาสได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู? พระเจ้าจะลงโทษคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไหม?
ความรอดภัยนิรันดร์คือ “ใบอนุญาต” ให้ทำบาปใช่ไหม?
คำถาม: ความรอดภัยนิรันดร์คือ “ใบอนุญาต” ให้ทำบาปใช่ไหม?
คำตอบ: คำทึกทักที่ได้ยินเสมอ ๆ เกี่ยวกับคำสอนเกี่ยวกับความรอดนิรันดร์ คือ คริสเตียนสามารถใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ตามที่เขาต้องการ - และยังคงได้รับความรอดอยู่ คำทึกทักนี้หากพูดกันตาม “หลักวิชา” แล้วมันก็เป็นความจริง แต่มันไม่ใช่ “แก่นแท้” ของความหมายของคำว่าความปลอดภัยนิรันดร์ ผู้ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาโดยแท้จริงแล้ว “สามารถ” มีชีวิตอยู่ในความบาปได้ – แต่เขาจะไม่ทำเช่นนั้น เราจะต้องแยกให้ออกระหว่าง ความคิดที่ว่าคริสเตียนควรใช้ชีวิตอย่างไร - กับเขาควรทำอะไรเพื่อที่จะได้รับความรอด
พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่าที่เราทั้งหลายรอดนั้นก็เพราะโดยพระคุณ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น (ยอห์น 3:16; เอเฟซัส 2:8-9; ยอห์น 14:6) ในนาทีที่ คน ๆ หนึ่งเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง เขาก็รอดและปลอดภัยอยู่ในความรอดนั้น ความรอดไม่ใช่สิ่งที่เมื่อเรารับมาโดยความเชื่อแล้วเราต้องรักษามันไว้ด้วยการกระทำ อัครทูตเปาโลได้พูดไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือกาลาเทีย 3:3 ว่า “ท่านเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ เมื่อท่านเริ่มต้นมาด้วยพระวิญญาณแล้ว บัดนี้ท่านจะจบลงด้วยเนื้อหนังหรือ” หากเราได้รับความรอดโดยความเชื่อแล้ว ความรอดของเราก็ต้องถูกรักษาไว้ด้วยความเชื่อเช่นกัน เราไม่สามารซื้อหาความรอดมาเป็นของเราเองได้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถปกปักรักษาความรอดของเราไว้ได้ พระเจ้าเท่านั้นคือผู้ที่ปกปักรักษาความรอดของเรา (ยูดาส ข้อ 24) มันคือพระหัตถ์ของพระองค์ที่ยึดเราไว้มั่น (ยอห์น10:28-29) มันคือความรักของพระเจ้าที่ไม่มีใครสามารถแยกเราออกไปได้ (ยอห์น 10:28-29)
การปฏิเสธใด ๆ ก็ตามเกี่ยวความรอดนิรันดร์ โดยหลักใหญ่แล้ว คือการมีความเชื่อที่ว่าเราต้องปกปักรักษาความรอดของเราไว้ด้วยการทำการดี ความเชื่อนี้ไม่เป็นไปตามหลักการที่ว่าความรอดนั้นมาจากพระคุณโดยสิ้นเชิง เราทั้งหลายรอดเพราะการดีของพระเจ้าไม่ใช่ของเรา (โรม 4:3-8) การอ้างว่าเราต้องเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือมีชีวิตที่ถูกต้องเพื่อรักษาความรอดของเราเอาไว้ ก็เหมือนกับการพูดว่าการวายพระชนม์ของพระเยซูไม่เพียงพอที่จะเป็นค่าชดเชยบาปของเรา แต่การวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ก็พอเกินพอแล้วสำหรับค่าไถ่โทษบาปของเรา– ทั้งในอดีต, ปัจจุบัน และในอนาคต, ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังจากที่เราได้รับความรอด (โรม 5:8; 1 โครินธ์ 15:3; 2 โครินธ์ 5:21)
ดังนั้น, จากที่พูดไปทั้งหมด, มันหมายความว่าคริสเตียนสามารถใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการแล้วยังได้รับความรอดอยู่ใช่ไหม? นี่เป็นคำถามที่ถูกสมมติขึ้นมาเท่านั้น เพราะพระคำภีร์บอกไว้อย่างชัดเจนว่าคริสเตียนแท้จะไม่ใช้ชีวิตแบบ “ตามใจฉัน” คริสเตียนเป็นสิ่งที่ถูกทรงสร้างใหม่แล้ว (2 โครินธ์ 5:17 ) คริสเตียนจะแสดงผลของพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:22-23) และไม่ทำตามเนื้อหนัง (กาลาเทีย 5:19-21) 1 ยอห์น3:6-9 กล่าวอย่างชัดเจนว่าคริสเตียนแท้จะไม่ชีวิตอยู่ด้วยการทำบาปอย่างต่อเนื่อง ในการตอบโต้ข้อกล่าวหาที่ว่าพระคุณส่งเสริมให้มีการทำบาป อัครทูตเปาโลประกาศว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกเราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้” (โรม 6: 1-2)
ความรอดนิรันดร์ไม่ใช่ “ใบอนุญาต” ให้ทำความบาป ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว มันคือสวัสดิการความมั่นคงที่ให้เราได้รู้ว่าความรักของพระเจ้าเป็นหลักประกันสำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ การได้รู้จักและเข้าใจถึงความรอดซึ่งเป็นของประทานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทำให้ความคิดที่ว่ามันเป็น “ใบอนุญาต” ให้ทำความบาปได้ ตกไป เราจะมีชีวิตอยู่ในความบาปได้อย่างไรเมื่อรู้ถึงราคาที่พระเยซูคริสต์ได้จ่ายออกไป (โรม 6:15-23)? เราจะโยนความรักของพระเจ้าคืนใส่พระพักตร์ของพระองค์ได้อย่างไรเมื่อได้รู้ถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและเป็นความรักที่พระองค์รับประกันสำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์? คนที่ทำเช่นนั้นไม่ได้กำลังแสดงว่าเขาคิดว่าเขาได้รับความรอดนิรันดร์เพื่อเป็นใบอนุญาตให้ทำบาป แต่แท้ที่จริงแล้วเขาไม่เข้าใจว่าความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์คืออะไร “ผู้ใดที่อยู่ในพระองค์ ผู้นั้นไม่กระทำบาป ส่วนผู้ใดที่กระทำบาป ผู้นั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่รู้จักพระองค์” (1 ยอห์น 3:6)
ความรอดภัยนิรันดร์คือ “ใบอนุญาต” ให้ทำบาปใช่ไหม?
ความเป็นอธิปไตยของพระเจ้าและเสรีภาพของมนุษย์ทำงานร่วมกันอย่างไรเกี่ยวกับความรอด?
คำถาม: ความเป็นอธิปไตยของพระเจ้าและเสรีภาพของมนุษย์ทำงานร่วมกันอย่างไรเกี่ยวกับความรอด?
คำตอบ: เป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้สำหรับเราที่จะเข้าใจอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นอธิปไตยของพระเจ้าและเสรีภาพของมนุษย์ พระเจ้าเท่านั้นทรงรู้แน่นอนว่าทั้งสองประการนี้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร
ข้อพระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าพระเจ้าทรงรู้ว่าใครจะได้รับความรอด (โรม 8:29; 1 เปโตร 1:2) เอเฟซัส 1:4 บอกเราว่าพระเจ้าทรงเลือกเราไว้ “ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก” พระคัมภีร์อธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าผู้เชื่อเป็นผู้ที่ “ถูกเลือก” (ไว้ โรม 8:33; 11:5; เอเฟซัส 1:11; โคโลสี 3:12; 1 เธสะโลนิกา 1:4; 1 เปโตร 1:2; 2:9) (มัทธิว 24:22, 31; มาระโก 13:20, 27; โรม 11:7; 1 ทิโมธี 5:21; 2 ทิโมธี 2:10; ทีตัส 1:1; 1 เปโตร 1:1) ความเป็นจริงที่ว่าผู้เชื่อได้ถูกกำหนดชัดเจน (โรม 8:29-30; เอเฟซัส 1:5, 11) และเลือกไว้แล้ว (โรม 9:11; 11:28; 2 เปโตร 1:10) ให้ได้รับความรอดปรากฎอยู่ชัดเจน
พระคัมภีร์บอกด้วยว่าเรามีอิสระในการเลือก – ทั้งหมดที่เราจะต้องทำคือเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วเราก็จะรอด (ยอห์น 3:16; โรม 10:9-10) พระเจ้าทรงรู้ว่าใครจะได้รับความรอด, พระองค์ทรงเลือกผู้ที่จะได้รับความรอด, และเราต้องเลือกพระคริสต์เพื่อที่เราจะได้รับความรอด ความเป็นจริงทั้งสามประการนี้ทำงานร่วมกันอย่างไรเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ความคิดที่มีขีดจำกัดจะเข้าใจได้ (โรม 11:33-36) ความรับผิดชอบของเราคือการนำพระกิตติคุณออกไปประกาศทั่วโลก (มัทธิว 28:18-20; กิจการ 1:8) เราควรมอบความรู้ที่เหนือขีดจำกัดของเรา, การเลือก, และการกำหนด ไว้กับพระเจ้า แล้วแค่เชื่อฟังพระองค์ด้วยการนำพระกิตติคุณออกไปประกาศเท่านั้นเอง
ความเป็นอธิปไตยของพระเจ้าและเสรีภาพของมนุษย์ทำงานร่วมกันอย่างไรเกี่ยวกับความรอด?