คำถามเกี่ยวกับสวรรค์และนรก



คำถามเกี่ยวกับสวรรค์และนรก





คำถามเกี่ยวกับสวรรค์และนรก

มีชีวิตหลังความตายหรือไม่?




คำถาม: มีชีวิตหลังความตายหรือไม่?

คำตอบ:
มีชีวิตหลังความตายหรือไม่? พระคัมภีร์บอกเราไว้ว่า “มนุษย์ที่เกิดมาโดยผู้หญิงก็อยู่แต่น้อยวัน และเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ เขาออกมาเหมือนดอกไม้ แล้วก็เหี่ยวแห้งไป เขาลี้ไปอย่างเงา และไม่อยู่ต่อไปอีก, ถ้ามนุษย์ตายแล้ว เขาจะมีชีวิตอีกหรือ?”ในพระธรรม (โยบ 14:1-2, 14)

ดังเช่นยาโคบ เราเกือบทุกคนล้วนแต่ได้รับคำถามอันน่าท้าทายนี้ จริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นหรือ หลังจากที่เราตายไปแล้ว? เราหายไปเฉย ๆ อย่างนั้นหรือ? ชีวิตนั้นเป็นเหมือนประตูหมุนเข้า-ออกโลกเพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ส่วนตัวหรือเปล่า? ทุกคนไปยังที่แห่งเดียวกันหรือไม่ หรือเราไปในที่แตกต่างกัน? สวรรค์และนรกมีจริงหรือไม่ - หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ใจคิดไปเอง?

พระคัมภีร์ได้บอกเราไว้ว่า ไม่เพียงแต่จะมีชีวิตหลังความตายเท่านั้น แต่ยังมีชีวิตนิรันดร์อันแสนสุขที่ “สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์” ในพระธรรม (1 โครินธ์ 2:9) พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์ ได้เสด็จมายังโลกนี้เพื่อมอบชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญพิเศษแก่เรา “แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี ” พระธรรม (อิสยาห์ 53:5)

พระเยซูทรงรับโทษที่เราสมควรต้องได้รับ และทรงสละพระชนม์ของพระองค์เอง สามวันต่อมา พระองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงชัยชนะเหนือความตาย โดยการฟื้นขึ้นจากหลุมพระศพ ทั้งทางฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายเนื้อหนัง พระองค์ทรงอยู่บนโลกอีกเป็นเวลา 40 วันโดยมีผู้คนนับพันเป็นพยานในการฟื้นคืนพระชนม์ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังแผ่นดินสวรรค์ ในพระธรรม โรม 4:25 เขียนไว้ว่า “ คือพระเยซูผู้ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นจากความตาย เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม ”

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ เป็นเหตุการณ์ที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร อัครสาวกเปาโลได้ท้าทายให้คนอื่น ๆ สอบถามผู้ที่เป็นพยานเห็นด้วยตา เพื่อให้ทราบว่าเกิดขึ้นจริง และไม่มีใครปฏิเสธความจริงได้ การฟื้นคืนพระชนม์เป็นหลักสำคัญของความเชื่อคริสเตียน เพราะพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ดังนั้นเราก็สามารถเชื่อได้เช่นกันว่าเราก็จะฟื้นขึ้นจากความตายด้วย

เปาโลได้ตักเตือนคริสเตียนในยุคต้น ๆ ที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ว่า “ ถ้าเราเทศนาว่าพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว เหตุใดพวกท่านบางคนยังกล่าวว่า การฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี พระคริสต์ก็หาได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาไม่ ” พระธรรม(1 โครินธ์ 15:12-13)

พระคริสต์เป็นเพียงองค์แรกของการสำแดงอันยิ่งใหญ่ของการฟื้นคืนชีวิตหลังความตาย ความตายฝ่ายร่างกายเกิดมาจากอาดัม ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา แต่ทุกคนที่พระเจ้าทรงรับเข้าส่วนเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ จะได้รับชีวิตใหม่ ในพระธรรม (1 โครินธ์ 15:20-22) เช่นเดียวกับที่ พระเจ้าทรงชุบชีวิตของพระเยซู ร่างกายเราก็จะฟื้นขึ้นมาจากความตายเมื่อพระเยซูเสด็จมาเช่นกัน (1 โครินธ์ 6:14)

ถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วเราจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย แต่ทุกคนก็ไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์พร้อมกันทั้งหมด แต่ละคนมีทางเลือกขณะมีชีวิตอยู่ว่า เขาหรือเธอจะไปอยู่ที่ไหนชั่วนิรันดร์ พระคัมภีร์กล่าวว่า เราทุกคนถูกกำหนดให้ตายเพียงครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่การพิพากษา (ฮีบรู 9:27) ผู้ชอบธรรมจะได้มีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ แต่ผู้ที่ไม่เชื่อ จะถูกส่งไปรับโทษนิรันดร์ในนรก (มัทธิว 25:46)

นรก ก็เหมือนสวรรค์ ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่คนจินตนาการขึ้นเอง แต่เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง เป็นที่ ๆ คนอธรรมจะต้องอยู่ตลอดกาล อยู่กับความพิโรธจากพระเจ้า พวกเขาเหล่านั้นจะต้องทนทุกข์กับความทรมาน ทางจิตใจ อารมณ์ ร่างกาย และจะได้รับรู้ความเจ็บปวดจากความละอาย ความเสียใจ และการดูถูก

มีคำบรรยายว่า นรกเป็นหลุมที่ไม่มีก้นบึ้ง (ลูกา 8:31, วิวรณ์ 9:1) และเป็นทะเลสาบไฟ ถูกเผาผลาญด้วยกรดซัลเฟอร์ ที่ซึ่งคนที่อยู่ในนั้นจะได้รับความทรมานตลอดทั้งวันทั้งคืนตลอดไปไม่มีสิ้นสุด (วิวรณ์ 20:10) ในนรก จะมีการร้องไห้คร่ำครวญและ การขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งแสดงถึงความโศกเศร้าและโมโหอย่างรุนแรง (มัทธิว 13:42) เป็นที่ซึ่ง “ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตายและไฟก็ไม่ดับเลย” (มาระโก 9:48) พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยในความตายของคนชั่ว แต่ทรงประสงค์ให้พวกเขากลับใจกับความชั่วที่กระทำไป เพื่อเขาจะได้มีชีวิตใหม่ (เอเสเคียล 33:11) แต่พระองค์จะไม่บังคับให้เราไปที่นั่น ถ้าเราเลือกที่จะละทิ้งพระองค์ พระองค์ทรงมีทางเลือกเพียงน้อยนิด นั่นคือให้ในสิ่งที่เราต้องการ – ซึ่งคือการมีชีวิตแยกจากพระองค์

ชีวิตในโลกนี้คือการทดลอง–คือการเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะมาถึงสำหรับผู้เชื่อนี่คือชีวิตนิรันดร์ในการสถิตย์อยู่ของพระเจ้า ดังนั้น เราจะเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร และจะได้รับชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร? มีเพียงทางเดียวเท่านั้น – ทางความเชื่อและไว้วางใจในพระบุตรของพระเจ้า คือองค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูตรัสว่า “ เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิตผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้ว ก็ยังจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย...” (ยอห์น 11:25-26)

ของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ เป็นของฟรีสำหรับทุกคน แต่เราจะได้เมื่อเรายอมสละความสุขทางฝ่ายโลก และถวายตัวแด่พระเจ้า “ ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตร ก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา” (ยอห์น 3:36) เราจะไม่ได้รับโอกาสให้กลับใจใหม่หลังจากที่เราตายไปแล้ว เพราะเมื่อเราอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าแล้ว เราจะไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเชื่อในพระองค์ พระองค์ต้องการให้เรามาหาพระองค์ด้วยความเชื่อและความรักในตอนนี้ ถ้าเรายอมรับว่าความตายของพระเยซูคริสต์เป็นการชำระบาปของเราที่เราทรยศต่อพระเจ้า ไม่เพียงแต่เราจะได้รับพันธสัญญาแห่งชีวิต ที่มีความหมายในโลกนี้แล้ว เรายังจะได้มีชีวิตนิรันดร์กับองค์พระคริสต์อีกด้วย

ถ้าคุณต้องการต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ รับการอภัยโทษจากพระเจ้า นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐาน (ขอให้คุณจำไว้ว่า.. การกล่าวตามคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานแบบใดๆก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้คุณได้รับความรอด) มีเพียงความเชื่อและได้ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ช่วยคุณให้ได้รับความรอดจากโทษของบาป คำอธิษฐานนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะแสดงถึงความเชื่อของคุณที่จะมีในพระเจ้า และเป็นการขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ทรงนำคุณให้พ้นจากอำนาจของบาป… “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำผิดบาปต่อน้ำพระทัยของพระองค์ และข้าพเจ้าสมควรจะได้รับการลงโทษนั้นๆ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงยอมรับโทษบาปนั้นไปจากชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับการอภัยโทษ โดยผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้ายินดีหันหลังให้กับความบาปทั้งปวงของข้าพเจ้า และขอมอบความไว้วางใจให้กับพระองค์ทรงนำชีวิตของข้าพเจ้าให้พ้นจากบาปทั้งปวงด้วย ขอขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่และการให้อภัยจากพระองค์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์! ขออธิษฐานในพระนามของ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า .. อาเมน!”

คุณได้ตัดสินใจเชื่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่คุณได้อ่านพบจากที่นี่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่.. กรุณาคลิกปุ่ม “ฉันได้รับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตตั้งแต่วันนี้”




มีชีวิตหลังความตายหรือไม่?

เกิดอะไรขึ้นหลังความตาย?




คำถาม: เกิดอะไรขึ้นหลังความตาย?

คำตอบ:
คำถามที่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังความตายอาจทำให้เราเกิดความสับสนได้ พระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัดเจนว่าเราจะไปถึงจุดหมายปลายทางนิรันดร์เมื่อไหร่ แต่บอกว่าในทันทีที่คน ๆ หนึ่งเสียชีวิต เขาจะถูกพาไปสวรรค์หรือไม่ก็นรกทันที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเขาได้ต้อนรับพระคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาแล้วหรือไม่ สำหรับผู้เชื่อ ชีวิตหลังความตายคือการละสังขารไปอยู่กับพระเจ้า (2 โครินธ์ 5:6-8; ฟีลิปปี 1:23) สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ชีวิตหลังความตายหมายถึงการถูกลงโทษนิรันดร์ในนรก (ลูกา 16:22-23)

จุดที่อาจทำให้เกิดความสับสนได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังความตายอยู่ตรงนี้ คือหนังสือวิวรณ์บทที่ 20:11-15 บรรยายว่าผู้ที่อยู่ในนรกจะถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ วิวรณ์บทที่ 21-22 พูดถึงสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ดังนั้น ดูเหมือนว่าหลังจากที่คน ๆ หนึ่งตายไป เขาจะไปอยู่ในสวรรค์หรือไม่ก็นรก “ชั่วคราว” จนกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะฟื้นขึ้นมาในตอนสุดท้าย จุดหมายปลายทางนิรันดร์ของผู้ที่ตายไปแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ “สถานที่” ที่เขาจะไปอยู่ชั่วนิรันดร์จะเปลี่ยนไป ณ จุด ๆ หนึ่งหลังความตาย ผู้เชื่อจะถูกส่งไปยังสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ (วิวรณ์ 21:1) ณ จุด ๆ หนึ่งหลังความตาย ผู้ไม่เชื่อจะถูกโยนลงไปในบึงไฟ (วิวรณ์ 20:11-15) นี่เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของทุกคน – ขึ้นอยู่กับว่าเขาได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ว่าทรงเป็นผู้ไถ่เขาให้รอดพ้นจากความบาป





เกิดอะไรขึ้นหลังความตาย?

นรกมีจริงไหม? นรกมีอยู่ชั่วนิรันดร์ไหม?




คำถาม: นรกมีจริงไหม? นรกมีอยู่ชั่วนิรันดร์ไหม?

คำตอบ:
นรกมีจริงไหม? จากการศึกษาค้นคว้าเราได้พบว่าคนมากกว่า 90% เชื่อว่า “สวรรค์” มีจริง แต่ มีคนน้อยกว่า 50% เชื่อว่านรกมีจริง พระคัมภีร์บอกว่านรกมีจริงแน่นอน! การลงโทษสำหรับผู้ชั่วร้ายในนรกไม่มีวันสิ้นสุด พอ ๆ กับที่การได้รับความเพลิดเพลินใจในสวรรค์สำหรับผู้ชอบธรรมก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน พระคัมภีร์บันทึกเกี่ยวกับโทษที่ผู้ชั่วร้ายที่เสียชีวิตไปแล้วจะได้รับไว้ตลอดทั้งเล่มว่าเป็น “ไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์” (มัทธิว 25:41), “ไฟที่ไม่รู้ดับ” (มัทธิว 3:12), “ความอับอายและความขายหน้านิรันดร์” (ดาเนียล 12:2), สถานที่ซึ่ง “ตัวหนอนก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลย” (มาระโก 9:44-49), สถานที่แห่ง “ความทุกข์ทรมาน” และ “เปลวไฟ” (ลูกา 16:23, 24), “ความพินาศนิรันดร์” (2 เธสะโลนิกา 1:9), สถานที่แห่งความทรมานด้วย “ไฟและกำมะถัน” สถานที่ซึ่ง “ควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 14:10,11) และ “บึงไฟและกำมะถัน” ที่ผู้ชั่วร้าย “ต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์” (วิวรณ์ 20:10), พระเยซูก็ได้ทรงบอกด้วยพระองค์เองว่าโทษในนรกเองนั้นเป็นโทษนิรันดร์ - ไม่ใช่เพียงแค่ควันและเปลวไฟเท่านั้น (มัทธิว25:46)

คนชั่วร้ายจะต้องได้เจอกับพระพิโรธที่ร้อนแรงของพระเจ้าในนรก พวกเขาจะต้องทนทุกข์ด้วยความอับอายและขายหน้า และการโจมตีจากเสียงกล่าวโทษที่มาจากความสำนึกผิดชอบชั่วดี -- ควบคู่ไปกับพระพิโรธที่ร้อนแรงของพระเจ้าผู้ที่เขาละเมิด -- ตลอดชั่วนิรันดร์ แม้ผู้ที่อยู่ในนรกก็ต้องยอมรับว่าคำพิพากษานั้นชอบธรรมแล้ว (สดุดี 76:10) ผู้ที่อยู่ในนรกแท้จะรู้ว่าการที่เขาถูกลงโทษนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วและเขาจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:3-5) ใช่แล้วนรกมีจริงแน่นอน ใช่แล้วนรกคือสถานที่ที่มีไว้สำหรับการทรมานและการลงโทษที่ไม่มีวันสิ้นสุด! สรรเสริญพระเจ้า ที่โดยทางพระเยซู เราสามารถหลุดพ้นจากเคราะห์กรรมนิรันดร์นี้ได้ (ยอห์น 3:16, 18, 36)





นรกมีจริงไหม? นรกมีอยู่ชั่วนิรันดร์ไหม?

สวรรค์ใหม่และโลกใหม่คืออะไร?




คำถาม: สวรรค์ใหม่และโลกใหม่คืออะไร?

คำตอบ:
มีคนหลายคนเข้าใจผิดและไม่รู้ว่าสวรรค์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร หนังสือวิวรณ์บทที่ 21-22 ให้รายละเอียดเกี่ยวกับท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่เอาไว้ หลังจากยุคสุดท้าย แผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์ในปัจจุบันก็จะจบสิ้นไป และจะถูกแทนที่ด้วยสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ที่อยู่นิรันดร์ของผู้เชื่อจะเป็นโลกใหม่ โลกใหม่คือ “สวรรค์” ที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ตราบชั่วนิรันดร์ โลกใหม่นี้เองคือที่ตั้งของกรุงเยรูซาเล็มใหม่. นครแห่งสวรรค์, โลกใหม่นี้เองคือที่ที่มีประตูประดับด้วยไขมุกและถนนที่เป็นทองคำบริสุทธิ์

สวรรค์ – โลกใหม่ – คือสถานที่ที่เรา, ผู้ที่จะมีร่างกายใหม่อันเปี่ยมไปด้วยพระสิริจะอาศัยอยู่ (ดู 1 โครินธ์ 15:35-58) ความคิดที่ว่าสวรรค์อยู่ “ในก้อนเมฆ” ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ ความคิดที่ว่าเราจะเป็น “วิญญาณล่องลอยไปมาในสวรรค์” ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ สวรรค์ที่ผู้เชื่อจะได้พบนั้นจะเป็นสถานที่ใหม่ที่ดีพร้อมและจะเป็นที่ที่เราจะอาศัยอยู่ ในโลกใหม่จะไม่มีความบาป, ความชั่วร้าย, ความเจ็บป่วย, ความทุกข์ทรมาน และความตาย มันจะคล้ายกับโลกปัจจุบัน หรืออาจจะเป็นการจำลองโลกปัจจุบันของเราขึ้นมาใหม่ก็ได้ - แต่เป็นโลกที่ไม่มีคำสาปแช่งจากความบาป

แล้วสวรรค์ใหม่เล่า? สิ่งสำคัญที่เราควรจะต้องรู้คือในความคิดของคนในสมัยโบราณ “ ฟ้าสวรรค์” หมายถึงท้องฟ้าและบรรยากาศนอกโลก และอาณาจักรที่พระเจ้าทรงประทับอยู่ ดังนั้น เมื่อข้อพระคัมภีร์วิวรณ์ 21:1 พูดถึงฟ้าสวรรค์ใหม่ มันน่าจะเป็นการพูดถึงจักรวาลใหม่ทั้งหมดที่จะถูกสร้างขึ้นมา – แผ่นดินโลกใหม่, ท้องฟ้าใหม่, บรรยากาศใหม่นอกโลก ดูเหมือนว่า “สวรรค์” ของพระเจ้าจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่เช่นเดียวกัน เพื่อให้เป็นการ “ เริ่มต้นใหม่” สำหรับทุกสิ่งในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ตามองเห็นหรือฝ่ายวิญญาณ เราจะได้อยู่ในสวรรค์ใหม่ชั่วนิรันดร์ไหม? คิดว่าได้ … แต่เราจะต้องคอยดูไปก่อน! ขอให้เรายอมให้พระวจนะของพระเจ้าอธิบายให้เราเข้าใจเกี่ยวกับสวรรค์ด้วยกันทุกคนเถิด!





สวรรค์ใหม่และโลกใหม่คืออะไร?

เราจะได้เจอเพื่อนและครอบครัวของเราบนสวรรค์และจำพวกเขาได้ไหม?




คำถาม: เราจะได้เจอเพื่อนและครอบครัวของเราบนสวรรค์และจำพวกเขาได้ไหม?

คำตอบ:
หลายคนบอกว่าสิ่งแรกที่พวกเขาต้องการจะทำเมื่อไปถึงสวรรค์คือการได้เจอเพื่อนและคนที่พวกเขารักที่เสียชีวิตไปก่อนพวกเขา แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น แน่นอนข้าพเจ้าเชื่อว่าเราจะได้เจอพวกเขา จำกันได้ และได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ในเวลาที่เป็นนิรันดร์ เราจะมีเวลาสำหรับเรื่องนี้มากพอ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเราบนสวรรค์ ข้าพเจ้าคิดว่าเราคงจะวุ่นวายอยู่กับการนมัสการพระเจ้าและชื่นชมยินดีอยู่กับสิ่งมหัศจรรย์บนสวรรค์เสียจนไม่ได้คิดถึงการที่จะต้องได้เจอะเจอกับคนที่เรารักในทันที

พระคัมภีร์พูดอย่างไรบ้างเกี่ยวกับว่าเราจะได้เจอและจำคนที่เรารักได้บนสวรรค์ได้หรือไม่ เมื่อกุมารน้อยโอรส ของกษัตริย์ดาวิดสิ้นพระชนม์อันเนื่องมาจากความบาปที่พระองค์ทรงกระทำกับบัทเชบา หลังจากที่พระองค์ทรงทุกข์ใจ อย่างหนักแล้ว พระองค์ทรงประกาศว่า “แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป เขาจะกลับมาหาเราหามิได้” (2 ซามูเอล 12:23) กษัตริย์ดาวิดคาดว่า พระองค์จะทรงจำบุตรชายของพระองค์ได้บนสวรรค์ ทั้งๆ ที่บุตรนั้นเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้ไปอยู่บนสวรรค์ “เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น” (1 ยอห์น 3:2) 1โครินธ์ 15:42-44 ได้อธิบายเกี่ยวกับกายซึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตายไว้ว่า “การซึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นก็เหมือนกัน สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นของที่จะเน่าเปื่อย สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเน่าเปื่อย สิ่งที่หว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีศักดิ์ศรี สิ่งที่หว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะทรงอานุภาพ สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นร่างกาย สิ่งที่เป็นขึ้นมาก็จะเป็นกายวิญญาณ ถ้าร่างกายมีกายวิญญาณก็มีด้วย”

ดังเช่นที่กายดินของเราเป็นเหมือนกายของอาดัมมนุษย์คนแรก (1 โครินธ์ 15:47) กายของเราเมื่อเราฟื้น จากความตายก็จะเป็นเหมือนของพระคริสต์ (1 โครินธ์ 15:47) “และเมื่อเราเกิดมามีลักษณะสมกับมนุษย์ดินแล้ว เราก็จะมีลักษณะสมกับมนุษย์สวรรค์ด้วย เพราะว่าสิ่งซึ่งเน่าเปื่อยนี้ต้องสวมซึ่งไม่เน่าเปื่อย และสภาพมตะนี้ต้องสวมสภาพอมตะ” (1 โครินธ์ 15:49,53) มีคนหลายคนจำพระเยซูได้หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ (ยอห์น 20:16, 20; 21:12; 1 โครินธ์ 15:4-7) ดังนั้นถ้ามีคนจำพระเยซูได้ในสภาพร่างกายใหม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่มีเหตุผลใดที่กายของเราจะแตกต่างไปจากกายของพระองค์ การได้เจอกับคนที่เรารักอีกครั้งหนึ่งเป็นแง่มุมที่งดงามบนสวรรค์ – แต่สวรรค์เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้ามากกว่าเรื่องความต้องการของเรา มันจะเป็นการดีสักเพียงใดที่เราได้กลับมาเจอคนที่เรารักอีก และได้นมัสการพระเจ้าร่วมกันชั่วนิรันดร์





เราจะได้เจอเพื่อนและครอบครัวของเราบนสวรรค์และจำพวกเขาได้ไหม?

คนที่อยู่บนสวรรค์สามารถมองลงมาเห็นเราผู้ที่ยังอยู่บนโลกนี้ได้ไหม?




คำถาม: คนที่อยู่บนสวรรค์สามารถมองลงมาเห็นเราผู้ที่ยังอยู่บนโลกนี้ได้ไหม?

คำตอบ:
หนังสือฮีบรู 12:1 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีพยานพรักพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว …” บางคนเข้าใจว่า “พยานหมู่ใหญ่” คือผู้ที่มองลงมาที่เราจากสวรรค์ แต่นั่นไม่ใช่การตีความหมายที่ถูกต้อง หนังสือฮีบรูบทที่ 11 บันทึกชื่อคนหลายคนที่พระเจ้าทรงชมว่ามีความเชื่อที่ดี คนเหล่านี้คือ “พยานหมู่ใหญ่” พวกเขาเป็น “พยาน” ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขากำลังเฝ้ามองเราอยู่ แต่เป็นเพราะพวกเขาได้ทำตัวเป็นตัวอย่างสำหรับเรามากกว่า… พวกเขาคือพยานฝ่ายพระคริสต์, และพระเจ้า, และความจริง หนังสือฮีบรู 12:1 พูดต่อไปว่า “…ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา”

พระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัดเจนว่าผู้ที่อยู่บนสวรรค์สามารถมองลงมาดูเราผู้ที่ยังอยู่บนโลกนี้ได้หรือไม่ มันอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำไม? ประการแรก คือ บางที่พวกเขาอาจมองเห็นว่าเรากำลังทำบาปอยู่ ประการที่สอง บางทีพวกเขาอาจเห็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียใจ ประการที่สาม ผู้ที่อยู่บนสวรรค์มัวแต่นมัสการพระเจ้าและเพลิดเพลินอยู่กับพระสิริแห่งสวรรค์เสียจนไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลก ความจริงที่ว่าพวกเขาหลุดพ้นจากความบาปแล้วและการได้อยู่ท่ามกลางพระสิริของพระเจ้าก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขามีความสุขได้ แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้ที่อยู่บนสวรรค์มองลงมาเห็นคนที่ตัวเองรักได้ก็ตาม พระคัมภีร์ไม่ได้ให้เหตุผลไว้เลยว่ามันเป็นไปได้





คนที่อยู่บนสวรรค์สามารถมองลงมาเห็นเราผู้ที่ยังอยู่บนโลกนี้ได้ไหม?

บัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์คืออะไร?




คำถาม: บัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์คืออะไร?

คำตอบ:
หนังสือโรม 14:10-12 กล่าวว่า, “เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า…ฉะนั้นเราทุกคนจะต้องทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า” 2 โครินธ์ 5:10 บอกเราว่า, “เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว” จากบริบทของข้อพระคัมภีร์ทั้งสองข้อ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระคัมภีร์พูดถึงคริสเตียนไม่ใช่ผู้ไม่เชื่อ ดังนั้นบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์คือที่ซึ่งผู้เชื่อรายงานเรื่องราวในชีวิตของเขาต่อพระคริสต์ บัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ไม่ได้เป็นตัวกำหนดความรอด เพราะความรอดนั้นถูกกำหนดไว้แล้วโดยการที่พระคริสต์ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปแทนเรา (1 ยอห์น 2:2), และโดยความเชื่อของเราในพระองค์ (ยอห์น 3:16) ความบาปทั้งสิ้นของเราพระเจ้าทรงยกโทษให้แล้วและเราจะไม่ต้องถูกพิพากษาเพราะมันอีก (โรม 8:1) เราไม่ควรมองว่าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์คือสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงพิพากษาความบาปของเรา แต่ควรมองว่ามันเป็นสถานที่ที่พระเจ้าทรงให้รางวัลชีวิตเรามากกว่า แน่นอนว่าเราต้องรายงานความบาปที่เราได้ทำลงไปด้วย แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญของบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์

ที่บัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ ผู้เชื่อจะได้รับรางวัลตามความสัตย์ซื่อในการปรนนิบัติพระคริสต์ของเขา (1 โครินธ์ 9:4-27; 2 ทิโมธี 2:5) สิ่งที่เรามีแนวโน้มว่าจะถูกพิพากษาคือเรื่องการเชื่อฟังพระบัญชา ว่าเราเชื่อฟังแค่ไหน (มัทธิว 28:18-20), เรามีชัยเหนือความบาปได้มากน้อยแค่ไหน (โรม 6:1-4), เราควบคุมลิ้นของเราได้ดีแค่ไหน (ยากอบ 3:1-9) ฯลฯ พระคัมภีร์พูดถึงการได้รับมงกุฎของผู้เชื่อ ว่ามันขึ้นอยู่กับความสัตย์ซื่อในการปรนนิบัติพระเจ้าของพวกเขา (1 โครินธ์ 9:4-27; 2 ทิโมธี 2:5) มงกุฎต่าง ๆ มีบรรยายไว้ในหนังสือ 2 ทิโมธี 2:5; 2 ทิโมธี 4:8; ยากอบ 1:12; 1 เปโตร 5:4; และ วิวรณ์ 2:10 ข้อพระคัมภีร์ยากอบ 1:12 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ดีที่สรุปว่าเราควรคิดถึงบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์อย่างไร – “คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งองค์พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์”





บัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์คืออะไร?

บัลลังก์พิพากษาสีขาวคืออะไร?




คำถาม: บัลลังก์พิพากษาสีขาวคืออะไร?

คำตอบ:
เรื่องการพิพากษาที่บัลลังก์พิพากษาสีขาวอยู่ในหนังสือวิวรณ์ 20:11-15 และนี่เป็นการพิพากษาครั้งสุดท้ายก่อนที่ผู้ไม่เชื่อจะถูกส่งไปยังบึงไฟนรก (ที่ซึ่งมีการลงโทษนิรันดร์อันเป็นที่รู้จักกันดีในนามของนรก) เรารู้จากหนังสือวิวรณ์ 20:7-15 ว่าการพิพากษาครั้งนี้จะเกิดขึ้นหลังจากยุคพันปีและหลังจากที่ซาตาน, สัตว์ร้าย, และผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จได้ถูกโยนลงไปยังบึงไฟนรก (วิวรณ์ 20:7-10) หนังสือที่ถูกเปิดออก (วิวรณ์ 20:12) คือหนังสือที่บันทึกการกระทำของทุก ๆ คนเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม เพราะพระเจ้าทรงรู้ทุกอย่างที่เราพูด, ทำหรือแม้แต่คิด แล้วพระองค์จะทรงให้รางวัล หรือลงโทษแต่ละคนตามนั้น (สดุดี 28:4; สดุดี 62:12; โรม 2:6; วิวรณ์ 2:23; วิวรณ์ 18:6; วิวรณ์ 22:12)

และในเวลาเดียวกันหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็จะถูกเปิดออกเช่นกัน หนังสือเล่มนี้คือ “หนังสือแห่งชีวิต” (วิวรณ์ 20:12) หนังสือเล่นนี้เองที่จะตัดสินว่าคน ๆ นั้นจะได้รับชีวิตนิรันดร์และจะได้อยู่กับพระเจ้าหรือจะได้รับการพิพากษานิรันดร์ในบึงไฟนรก แม้ว่าคริสเตียนทุกคนจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง แต่พวกเขาได้รับการให้อภัยในพระคริสต์แล้วและชื่อของพวกเขาก็ได้ถูกจดไว้ใน “หนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่ตอนที่โลกถูกสร้างขึ้นมาแล้ว” (วิวรณ์ 17:8) เรารู้จากพระคัมภีร์อีกด้วยว่าในการพิพากษาครั้งนี้พระเยซูจะทรงพิพากษา “ผู้ที่ตายแล้วตามการกระทำของพวกเขา” (วิวรณ์ 20:12) และ “ทุกคน” ที่ไม่ได้ “มีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิต” จะถูกโยนลงไปยังบึงไฟนรก (วิวรณ์ 20:15)

ความจริงที่ว่าจะมีการพิพากษาครั้งสุดท้ายสำหรับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนในข้อพระคัมภีร์หลายตอน วันหนึ่งทุก ๆ คนจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระคริสต์และได้รับการพิพากษาในสิ่งที่เขาได้กระทำ แม้ว่าการพิพากษาที่บัลลังก์สีขาวเป็นเรื่องชัดเจนว่าเป็นการพิพากษาครั้งสุดท้ายของพระคริสต์ บรรดาคริสเตียนไม่เห็นด้วยว่ามันเกี่ยวข้องกับการพิพากษาอื่น ๆ ที่พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างไร และใครจะถูกพิพากษาบ้างที่บัลลังก์สีขาวนั้น

คริสเตียนหลายคนเชื่อว่าพระคัมภีร์เปิดเผยว่ามีการพิพากษาสามครั้งที่จะมาถึง การพิพากษาแรกคือการพิพากษา “แกะและแพะ” หรือ “การพิพากษาบรรดาประชาชาติ” ตามที่มีปรากฎอยู่ในหนังสือมัทธิว 25:31-36 พวกเขาเชื่อว่าการพิพากษานี้จะเกิดขึ้นหลังช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก แต่ก่อนยุคพันปี และมันจะเป็นการตัดสินว่าใครจะได้เข้าไปสู่ยุคพันปีบ้าง การพิพากษาครั้งที่สองเป็นการพิพากษาการงานของผู้เชื่อ, ซึ่งบ่อยครั้งถูกเรียกว่า “บัลลังก์ (bema) พิพากษาของพระคริสต์” (2 โครินธ์ 5:10) ในตอนนั้นคริสเตียนทุกคนจะได้รับรางวัลมากหรือน้อยตามแต่ผลงานของแต่ละคนที่มีต่อพระเจ้า การพิพากษาครั้งที่สามคือการพิพากษาที่ “บัลลังก์สีขาว” เมื่อยุคพันปีสิ้นสุดลง (วิวรณ์ 20:11-15); การพิพากษาครั้งนี้เป็นการพิพากษาผู้ไม่เชื่อตามการกระทำของพวกเขาและเพื่อตัดสินให้พวกเขาได้รับโทษนิรันดร์ในบึงไฟนรก

คริสเตียนอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าการพิพากษาทั้งสามครั้งนี้ตามที่มีปรากฏอยู่ในหนังสือ มัทธิว 25:31-36; 2 โครินธ์ 5:10 และวิวรณ์ 20:11-15 เป็นการพูดถึงการพิพากษาในครั้งเดียวกัน คือการพิพากษาครั้งสุดท้าย ไม่ใช่สามครั้ง จะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่เชื่อว่ามีการพิพากษาครั้งเดียวเชื่อว่าการพิพากษาที่ “บัลลังก์สีขาว” ในหนังสือวิวรณ์ 20:11-15 จะเป็นเวลาที่ทั้งผู้เชื่อและไม่เชื่อถูกพิพากษา ผู้ที่มีชื่อของตนบันทึกไว้ใน “หนังสือแห่งชีวิต” จะถูกพิพากษาตามการกระทำของตนเองเพื่อตัดสินว่าเขาจะได้รับหรือไม่ได้รับรางวัลตามที่ควรจะได้ ส่วนผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ใน “หนังสือแห่งชีวิต” จะถูกพิพากษาตามการกระทำของตนเองเพื่อตัดสินว่าเขาควรจะได้รับโทษหนักหรือเบาแค่ไหนในบึงไฟนรก ผู้ที่เชื่อในมุมมองนี้เชื่อว่าข้อพระคัมภีร์มัทธิว 25:31-46 เป็นอีกข้อพระคัมภีร์หนึ่งที่บรรยายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการพิพากษาที่ “บัลลังก์สีขาว” พวกเขาชี้ไปถึงความจริงที่ว่าผลของการพิพากษาครั้งนี้เหมือนกับผลของการการพิพากษาที่ “บัลลังก์สีขาว” ในหนังสือวิวรณ์ 20:11-15 “แกะทั้งหลาย” (ผู้เชื่อ) จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ในขณะที่พวก “แพะ” (ผู้ไม่เชื่อ) จะถูกตัดสินให้ “ต้องโทษชั่วนิตย์นิรันดร์” (มัทธิว 25:46)

ไม่ว่าเราจะมีมุมมองเกี่ยวกับการพิพากษาที่ “บัลลังก์สีขาว” อย่างไร ที่สำคัญคือเราจะต้องไม่คลาดสายตาไปจากความจริงที่สำคัญสามประการเกี่ยวกับการพิพากษาที่จะมาถึงคือ 1) พระเยซูคริสต์คือผู้พิพากษา 2) ผู้ไม่เชื่อทุกคนจะต้องได้รับการพิพากษาโดยพระคริสต์ และจะต้องได้รับโทษตามการกระทำของเขา พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าผู้ไม่เชื่อกำลังส่ำสม “ในวันที่พระเจ้าทรงลงพระอาชญา ซึ่งพระองค์จะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์” (โรม 2:5) และพระเจ้าจะ“ทรงประทานแก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา” (โรม 2:6) 3) ผู้เชื่อทุกคนจะได้รับการพิพากษาโดยพระคริสต์ด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากความชอบธรรมของพระองค์ได้ถูกนำมาวางบนพวกเขาแล้วและชื่อของพวกเขาได้ถูกจดไว้ใน “หนังสือแห่งชีวิต” แล้ว พวกเขาจะได้รับรางวัลตามการกระทำของเขา หนังสือโรม 14:10-12 บอกไว้อย่างชัดเจนว่า “เราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า” และพวกเราแต่ละคนจะต้อง “รายงานเรื่องราวของตัวเองกับพระเจ้า”

พระคัมภีร์บอกไว้อย่างชัดเจนว่าวันหนึ่งทุกคน, ทั้งผู้เชื่อและไม่เชื่อ, จะต้องไปยืนจำเพาะพระเยซูเพื่อรับการพิพากษา แต่ข่าวดีสำหรับผู้เชื่อก็คือสำหรับเราการพิพากษาไม่ใช่การตัดสินว่าเราจะถูกส่งไปยังบึงไฟนรกหรือไม่ เพราะปัญหานั้นได้ถูกจัดการเรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่ตอนที่เราเชื่อในพระกิตติคุณและได้กลายเป็น “บุตรของพระเจ้า” ผู้ที่ได้รับความรอดจริง ๆ ได้รับผลประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือการเอาความบาปของเราไปให้กับพระคริสต์เพื่อแลกเอาความชอบธรรมของพระองค์มาใส่ไว้ในตัวเราแทน แต่ถึงแม้ว่าความชอบธรรมของเราจะมั่นคงอยู่ในพระคริสต์เราก็ยังจะต้อง “ทูลเรื่องราวของตัวเองต่อพระเจ้า” อยู่นั่นเอง (โรม 14:12) ดังนั้นเราควรพยายามทำทุกสิ่งเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า (1 โครินธ์ 10:31)





บัลลังก์พิพากษาสีขาวคืออะไร?