• คำถามเกี่ยวกับลัทธิเทียมเท็จ



    คำถามเกี่ยวกับลัทธิเทียมเท็จ

    ลัทธิอเทวนิยมคืออะไร?
  • ลัทธิอไญยนิยม คืออะไร?
  • ลัทธิอุจเฉททิฏฐิ ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม?
  • ลัทธิสากลนิยม/ความรอดสากล ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม?
  • มุมมองเกี่ยวกับยุคสุดท้ายของผู้ที่เชื่อว่าคำพยากรณ์ในหนังสือวิวรณ์สำเร็จลงแล้วเป็นอย่างไร?
  • ลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต คืออะไร?


  • กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • คำถามเกี่ยวกับลัทธิเทียมเท็จ
  • ลัทธิอเทวนิยมคืออะไร?




    คำถาม: ลัทธิอเทวนิยมคืออะไร?

    คำตอบ:
    ลัทธิอเทวนิยมคือมุมมองที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ลัทธิอเทวนิยมไม่ใช่ของใหม่ หนังสือสดุดี 14:1 ที่กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้ในราวปี กคศ 1000 ได้พูดถึงลัทธิอเทวนิยมไว้ว่า “คนโง่รำพึงในใจของตนว่า ไม่มีพระเจ้า” สถิติเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่ามีคนมากขึ้นเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า โดยมีคนถึง 10% ทั่วโลกประกาศว่าตนเองเชื่อในลัทธิอเทวนิยม ทำไมจึงมีคนมากขึ้นเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า? ลัทธิอเทวนิยมเป็นความเชื่อที่สมเหตุสมผลอย่างที่ผู้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอ้างไว้หรือไม่?

    ทำไมลัทธิอเทวนิยมจึงเกิดขึ้น? ทำไมพระเจ้าจึงไม่เปิดเผยพระองค์เองเสียเลยเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่? หากพระเจ้าเพียงแค่ทรงเปิดเผยพระองค์เองเท่านั้นทุกคนจะต้องเชื่อในพระองค์แน่นอน! แต่ปัญหาคือมันไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะเพียงแค่ยืนยันให้คนรู้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่เท่านั้น แต่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะให้คนเชื่อในพระองค์ด้วยความเชื่อ (2 เปโตร 3:9) และรับของประทานแห่งความรอดของพระองค์ (ยอห์น 3:16) แน่นอนพระเจ้าทรงสามารถที่จะปรากฏและแสดงพระองค์ให้ทุกคนเห็นว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่เพื่อที่จะได้หมดปัญหา แต่ปัญหาคือพระองค์ได้ทรงสำแดงการทรงดำรงอยู่ของพระองค์อย่างชัดเจนหลายครั้งแล้วในสมัยพันธสัญญาเดิม (ปฐมกาล บทที่ 6-9; อพยพ 14:21-22; 1 พงศ์กษัตริย์ 18:19-31) แล้วผู้คนเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ไหม? เชื่อซิ! แล้วพวกเขาหันหลังให้กับทางแห่งความชั่วร้ายของพวกเขาแล้วหันมาเชื่อฟังพระองค์ไหม? ไม่เลย! หากผู้ใดไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ด้วยความเชื่อแล้วละก็ แน่นอนว่าเขาก็ไม่พร้อมที่จะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาโดยความเชื่อเหมือนกัน (เอเฟซัส 2:8-9) นั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า – สำหรับคนที่จะมาเป็นคริสเตียน ไม่ใช่แค่สำหรับตนที่เชื่อในลัทธิเทวนิยมเท่านั้น (ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่)

    พระคัมภีร์บอกเราว่าเราจะต้องยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าด้วยความเชื่อ ข้อพระคัมภีร์ฮีบรู 11:6 กล่าวว่า “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์” พระคัมภีร์เตือนความจำเราว่าเราได้รับบำเหน็จเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเจ้าโดยความเชื่อ “พระเยซูตรัสกับเขาว่า " เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” (ยอห์น 20:29)

    ความจริงที่ว่าเราต้องยอมรับด้วยความเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ไม่ได้หมายความว่าการวางใจในพระเจ้าเป็นเรื่องไร้เหตุผล มีเหตุผลที่ดีมากมายที่แสดงว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ ขอให้ท่านเข้าไปเยี่ยมชมหน้า “พระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่?” ของเราได้ พระคัมภีร์สอนว่าการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าปรากฏอยู่อย่างชัดเจนในจักรวาล (สดุดี 19:1-4) ในธรรมชาติ (โรม 1:18-22), และในหัวใจของเรา (ปัญญาจารย์ 3:11) ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ข้อพระคัมภีร์ทั้งหมดที่กล่าวมา กล่าวว่า การทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ เราต้องยอมรับมันโดยความเชื่อเท่านั้น

    ในทำนองเดียวกัน ลัทธิอเทวนิยมก็ต้องใช้ความเชื่อพอกัน การที่จะพูดอย่างมั่นใจว่า “ไม่มีพระเจ้า!” คือการอ้างว่ารู้ทุกอย่างอย่างถ่องแท้ – ได้ไปมาแล้วทุกแห่งในจักรวาล – และได้เห็นทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้ว แน่นอนไม่มีใครในลัทธิอเทวนิยมยอมพูดอย่างนี้แน่ แต่นี่คือสิ่งที่พวกเขาอ้างเมื่อเขาบอกว่าไม่มีพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่อยู่ในลัทธิอเทวนิยมไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ในใจกลางของดวงอาทิตย์ หรือภายใต้หมอกเมฆของดาวพฤหัสบดี หรือในกลุ่มก๊าซในอวกาศที่ไกลออกไปหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้นการที่พระเจ้าไม่ได้ทรงดำรงอยู่ก็พิสูจน์ไม่ได้เช่นกัน การเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า หรือ มีพระเจ้า ต้องใช้ความเชื่อมากพอ ๆ กัน

    ในที่สุดเราก็กลับมาอยู่ที่จุดเดิมอีก ลัทธิอเทวนิยมพิสูจน์ไม่ได้และการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเราต้องยอมรับโดยความเชื่อ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ ข้าพเจ้ายอมรับว่าความมั่นใจของข้าพเจ้ามาจากความเชื่อ พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าไม่ยอมรับแนวความคิดที่ว่าความมั่นใจในพระเจ้าไม่มีเหตุผล ข้าพเจ้าเชื่อว่าการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าปรากฏอยู่อย่างชัดเจน, เราสามารถสัมผัสถึงการทรงสถิตนั้นได้ และการทรงดำรงอยู่ของพระองค์สามารถพิสูจน์ได้ทั้งวิทยาศาสตร์และปรัชญา ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้ได้ที่หน้า “พระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่” ของเรา “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มีและไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ ที่นั้น” (สดุดี 19:1-4)



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ลัทธิอเทวนิยมคืออะไร?
  • ลัทธิอไญยนิยม คืออะไร?




    คำถาม: ลัทธิอไญยนิยม คืออะไร?

    คำตอบ:
    ลัทธิอไญยนิยม คือ ทัศนะที่เชื่อว่ามนุษย์เราไม่อาจรู้หรือพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ คำว่า “อไญย” หมายความว่า “โดยปราศจากความรู้” ทัศนะอไญยนิยม คือ ทัศนะที่มีเหตุผลต่อยอดขึ้นมาจากลัทธิอเทวนิยม (Atheism) ลัทธิอเทวนิยมไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า – พิสูจน์ไม่ได้ – แต่ลัทธิอไญยนิยมบอกว่าการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าพิสูจน์ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่หรือไม่ ตามความคิดนี้ ทัศนะคติของลัทธิอไญยนิยมถูกต้อง การทรงอยู่ของพระเจ้าพิสูจน์ไม่ได้ด้วยเหตุผลแต่ด้วยการสังเกตุเท่านั้น

    พระคัมภีร์บอกว่าเราต้องยอมรับโดยความเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ ข้อพระคัมภีร์ฮีบรู 11:6 กล่าวว่า “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้นต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์” พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ (ยอห์น 4:24) เราจึงมองไม่เห็นและสัมผัสพระองค์ไม่ได้ ในสัมผัสของเราพระเจ้าทรงสภาพที่ไม่ปรากฏ นอกจากจะทรงเลือกที่จะเปิดเผยพระองค์เองเท่านั้น (โรม 1:20) พระคัมภีร์บอกว่าการทรงสถิตของพระเจ้าปรากฏอยู่อย่างชัดเจนในจักรวาล (สดุดี 19:1-4) สามารถสัมผัสได้โดยทางธรรมชาติ (โรม 1:18-22), และยืนยันได้ภายในใจของเรา (ปัญญาจารย์ 3:11)

    ทัศนะของลัทธิอไญยนิยมคือการไม่ตัดสินใจว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่มีจริง มันเป็นการตัดสินใจที่จะ “ไม่อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” พวกเทวนิยม (Theists) เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง พวกอเทวนิยม (Atheists) ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง พวก อไญยนิยม (Agnosticism) เชื่อว่าเราไม่ควรมั่นใจหรือไม่มั่นใจว่าพระเจ้ามีจริง – เพราะเรารู้แน่ไม่ได้ทั้งสองอย่าง

    เพื่อจะได้มีเรื่องมาถกกัน ให้เราโยนหลักฐานที่ชัดเจนและปฏิเสธไม่ได้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ทิ้งไป แล้วเอาทัศนคติแบบเทวนิยม กับอเทวนิยมและอไญยนิยม มาพิจารณาอย่างเสมอภาคกันในหัวข้อที่เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย หากไม่มีพระเจ้า ไม่ว่าผู้มีทัศนคติแบบเทวนิยม, อเทวนิยมหรืออไญยนิยมจะหยุดดำรงอยู่ต่อไปหลังความตาย แต่หากมีพระเจ้า ผู้มีทัศนคติแบบอเทวนิยมหรืออไญยนิยมจะต้องรายงานตัวต่อใครสักคนหนึ่งเมื่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว จากมุมมองนี้ การมีความเชื่อแบบเทวนิยมจะดีกว่าการมีความเชื่อแบบอเทวนิยมหรืออไญยนิยมแน่นอน หากทัศนคติทั้งสองแบบหลังพิสูจน์ไม่ได้หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้ามีจริง มันจะไม่เป็นการฉลาดกว่าหรือที่เราจะเชื่อในเรื่องที่จะให้ผลนิรันดร์ ที่ดีกว่าในตอนจบ

    มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะสงสัย มีอะไรอีกมากมายในโลกนี้ที่เราไม่เข้าใจ มีคนสงสัยเสมอ ๆ ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะเขาไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พระองค์ทรงทำและอนุญาตให้เกิดขึ้น แต่ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่มีความจำกัด เราไม่ควรคาดหวังที่จะเข้าใจพระเจ้าผู้ทรงไม่มีความจำกัด หนังสือโรม 11:33-34 กล่าวว่า “โอ พระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้านั้นล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะได้ เพราะว่า `ใครเล่ารู้พระทัยของพระเจ้า หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาพระองค์” เราต้องเชื่อพระเจ้าและวางใจในพระองค์โดยความเชื่อ พระเจ้าทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะเปิดเผยพระองค์อย่างอัศจรรย์ต่อผู้ที่วางใจในพระองค์ หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ 4:29 กล่าวว่า “แต่ ณ ที่นั่นแหละท่านทั้งหลายจะแสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ถ้าพวกท่านค้นหาพระองค์ด้วยสุดจิตและสุดใจ พวกท่านจะพบพระองค์”



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ลัทธิอไญยนิยม คืออะไร?
  • ลัทธิอุจเฉททิฏฐิ ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม?




    คำถาม: ลัทธิอุจเฉททิฏฐิ ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม?

    คำตอบ:
    อุจเฉททิฏฐิคือความเชื่อที่ว่าผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกแต่จะ “ดับไป” หลังความตาย อุจเฉททิฏฐิคือผลของความเข้าใจหลักคำสอนหนึ่งหรือสองข้อต่อไปนี้ผิด: (1) ผลของความบาป, (2) ความยุติธรรมของพระเจ้า, (3) ธรรมชาติของนรก

    เมื่อพูดเรื่องนรก ผู้เชื่อในลัทธิอุจเฉททิฏฐิเข้าใจความหมายของบึงไฟนรกผิดไป หากมนุษย์ถูกส่งไปยังบึงไฟลาวา แน่นอนว่าร่างกายของเขาจะถูกเผาไหม้หมดไปทันที แต่บึงไฟนรกเป็นทั้งมิติฝ่ายร่างกายและวิญญาณ ความจริงคือไม่ใช่แค่ร่างกายมนุษย์เท่านั้นที่จะต้องตกลงไปยังบึงไฟนรก แต่รวมไปถึงจิตใจและจิตวิญญาณด้วย และวิญญาณจิตของมนุษย์ไม่สามารถถูกเผาไหม้ด้วยไฟธรรมดาได้ ผู้ที่ไม่ได้รับความรอดจะฟื้นขึ้นมาด้วยกายนิรันดร์เหมือนผู้ที่ได้รับความรอด (วิวรณ์ 20:13; กิจการ 24:15) และกายใหม่นี้ถูกเตรียมไว้สำหรับชะตากรรมนิรันดร์

    ความเป็นนิรันดร์คืออีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เชื่อในลัทธิอุจเฉททิฏฐิไม่เข้าใจมากพอ ผู้เชื่อในลัทธิอุจเฉททิฏฐิเข้าใจคำว่า “aionion” ถูกต้อง คำ ๆ นี้โดยปกติแปลว่านิรันดร์ แต่ไม่ได้หมายความว่านิรันดร์ตามความหมายที่แท้จริง ในความหมายที่แท้จริงนั้น คำ ๆ นี้แปลว่า “ระยะเวลาหนึ่ง” หรือ “eon” แต่ในพันธสัญญาใหม่ บางครั้งคำว่า “aionion” ถูกนำมาใช้ในเมื่อพระคัมภีร์กล่าวถึงเวลานิรันดร์ หนังสือวิวรณ์ 20:10 พูดว่าซาตาน, สัตว์ร้าย, ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ ถูกทิ้งลงไปยังบึงไฟนรกและต้องทนทุกข์ทรมาน “ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์” พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าทั้งสามไม่ได้ “ดับไป” เมื่อถูกทิ้งลงไปยังบึงไฟนรก แล้วชะตากรรมของผู้ที่ไม่ได้รับความรอดจะแตกต่างออกไปได้อย่างไร (วิวรณ์ 20:14-15)? หลักฐานที่เชื่อถือได้ดีที่สุดเกี่ยวกับความเป็นนิรันดร์ของนรกอยู่ในหนังสือ มัทธิว 25:46 “และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” ข้อพระคัมภีร์นี้ใช้คำภาษากรีกคำเดียวกันเมื่อพูดถึงจุดหมายปลายทางของผู้ชั่วร้ายและผู้ชอบธรรม หากผู้ชั่วร้ายต้องรับโทษ “ชั่วระยะเวลาหนึ่ง” ผู้ชอบธรรมก็จะต้องได้รับชีวิตบนสวรรค์ชั่วระยะเวลาหนึ่งเหมือนกัน หากผู้เชื่อจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ตลอดไป ผู้ไม่เชื่อก็จะต้องได้ไปอยู่ในนรกตลอดไปเช่นกัน

    ข้อโต้แย้งอีกข้อหนึ่งที่ได้ยินบ่อย ๆ จากผู้เชื่อในลัทธิอุจเฉททิฏฐิ เกี่ยวกับการตกนรกตลอดชั่วนิรันดร์ คือ มันไม่ยุติธรรมที่พระเจ้าจะทรงลงโทษผู้ไม่เชื่อในนรกชั่วนิรันดร์สำหรับความบาปที่เกิดขึ้นในชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น มันจะยุติธรรมได้อย่างไรที่พระเจ้าจะทรงลงโทษมนุษย์ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในความบาป – สมมุ ติว่าเพียงแค่ 70 ปี - ให้ต้องโทษนิรันดร์? คำตอบคือ – ความบาปของเรามีผลนิรันดร์เพราะมันเป็นความบาปต่อพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์นิรันดร์ เมื่อกษัตริย์ดาวิดทำผิดบาปทางเพศและกระทำการฆาตกรรม พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ต่อพระองค์เท่านั้น และได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระองค์ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงยุติธรรมในคำพิพากษา และไร้ตำหนิในการพิพากษานั้น ” (สดุดี 51:4) กษัตริย์ดาวิดทำบาปต่อบัทเชบาและอุรียาห์เท่านั้น แล้วพระองค์ตรัสว่าพระองค์ทำบาปต่อพระเจ้าได้อย่างไร? เพราะกษัตริย์ดาวิดรู้ดีว่าการทำบาปทั้งหมดคือการทำผิดต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นองค์นิรันดร์ ดังนั้น ความบาปทั้งหมดจึงสมควรที่จะได้รับโทษนิรันดร์ ตัวอย่างง่าย ๆ คือ การทำร้ายประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาย่อมมีโทษรุนแรงกว่าการทำร้ายเพื่อนบ้านของเราเอง ดังนั้นการทำผิดบาปต่อพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์และเป็นองค์นิรันดร์จะร้ายแรงสักเพียงใด?

    มุมมองที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของลัทธิอุจเฉททิฏฐิ คือ ว่าเราจะมีความสุขไปได้อย่างไรบนสวรรค์เมื่อรู้ว่าคนที่เรารักบางคนกำลังทนทุกข์อยู่ชั่วนิรันดร์ในบึงไฟนรก แต่เมื่อเราไปถึงสวรรค์ เราจะไม่ต้องบ่นหรือเศร้าโศกเสียใจอีกแล้ว หนังสือวิวรณ์ 21:4 บอกว่า “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว” หากมีคนที่เรารักบางคนไม่ได้อยู่บนสวรรค์ เราก็จะเห็นด้วย 100% ว่าเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น - ว่าเขาถูกพิพากษาด้วยการไม่ยอมรับเองว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา (ยอห์น 3:16; ยอห์น 14:6) มันเป็นการยากที่จะเข้าใจ แต่เราจะไม่เศร้าที่ไม่ได้เห็นเขา เราไม่ควรจดจ่ออยู่ที่ว่าเราจะมีความสุขอยู่บนสวรรค์ได้อย่างไรโดยไม่มีคนที่เรารักอยู่ที่นั่น แต่เราควรจะจดจ่ออยู่ที่ว่าเราจะนำพวกเขามาเชื่อพระคริสต์อย่างไรมากกว่า เพื่อว่าเขาจะได้ไปอยู่บนสวรรค์กับเราด้วย

    บางทีนรกคือเหตุผลเบื้องต้นที่พระเจ้าทรงส่งพระเยซูมาเพื่อใช้หนี้บาปของเรา การ “ดับไป” หลังความตายไม่ใช่ชะตากรรมที่น่ากลัว แต่การที่ต้องตกอยู่ในบึงไฟนรกชั่วนิรันดร์เป็นเรื่องน่ากลัว การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเป็นการสิ้นพระชนม์ที่ไม่สิ้นสุด เพื่อไถ่หนี้บาปที่ไม่สิ้นสุดของเรา - เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องใช้หนี้ในนรกตลอดชั่วนิรันดร์ (2 โครินธ์ 5:21) ทั้งหมดที่เราจะต้องทำคือเชื่อในพระองค์แล้วเราก็จะได้รับ ความรอด, การยกโทษ, การชำระ, และพระสัญญาที่เราจะได้ไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์ชั่วนิรันดร์ พระเจ้าทรงรักเรามากเสียจนพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมความรอดไว้ให้เรา หากเราปฏิเสธของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ชิ้นนี้ เราก็จะต้องรับผลนิรันดร์ที่ติดตามมาอันเนื่องมาจากการตัดสินใจของเรา



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ลัทธิอุจเฉททิฏฐิ ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม?
  • ลัทธิสากลนิยม/ความรอดสากล ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม?




    คำถาม: ลัทธิสากลนิยม/ความรอดสากล ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม?

    คำตอบ:
    ลัทธิสากลนิยมคือความเชื่อที่ว่าทุกคนจะได้รับความรอด มีคนหลายคนในปัจจุบันเชื่อใน “ความรอดสากล” ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ว่าในที่สุดมนุษย์จะจบลงบนสวรรค์กับพระเจ้า บางทีความคิดที่ว่ามนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วนิจนิรันดร์ในบึงไฟนรกทำให้คนบางคนรับข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ บางคนเน้นความรักและความเมตตาของพระคริสต์จนเลยเถิดจนกระทั่งเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงมีพระเมตตาต่อวิญญาณทุกดวง แต่พระคัมภีร์มีสอนไว้ว่าบางคนจะต้องใช้ชีวิตนิรันดร์อยู่ในบึงไฟนรก ในขณะที่คนอื่นมีชีวิตนิรันดร์บนสวรรค์กับพระเจ้า

    ประการแรก – ข้อพิสูจน์ว่าผู้ที่ไม่ได้รับการไถ่จะต้องตกนรกชั่วนิรันดร์ - พระวจนะของพระเยซูเองยืนยันว่าช่วงเวลาในสวรรค์ของผู้ที่ได้รับการไถ่จะยาวนานเท่า ๆ กับช่วงเวลาที่ผู้ที่ไม่ได้รับการไถ่ในนรก ข้อพระคัมภีร์มัทธิว 25:46 กล่าวว่า “และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” มีบางคนเชื่อว่าผู้ที่อยู่ในนรกในที่สุดจะดับไป แต่พระเจ้าทรงยืนยันเองว่าพวกเขาจะอยู่ที่นั่นตลอดกาล หนังสือมัทธิว 25:41 ก็ได้พูดถึง “ไฟนิรันดร์” นี้มาก่อนแล้ว ในหนังสือมาระโก 9:44 พระเยซูตรัสเกี่ยวกับนรกว่าเป็น “ไฟที่ไม่มีวันดับ” มันไม่ดับเพราะมันลุกไหม้อยู่ชั่วนิรันดร์

    แล้วเราจะหนีให้พ้นจาก “ไฟที่ไม่มีวันดับ” นี้ได้อย่างไร? หลายคนเชื่อว่าถนนทุกสายนำไปสู่สวรรค์ทั้งนั้น หรือไม่ก็คิดว่าพระเจ้าทรงเต็มไปด้วยความรักและพระเมตตาเสียจนกระทั่งพระองค์จะทรงอนุญาตให้ทุกคนไปสวรรค์หมด แน่นอนว่าพระคริสต์ทรงเต็มล้นด้วยความรักและพระคุณ และด้วยคุณสมบัตินี้ของพระเจ้านั่นเองที่ทำให้พระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์, มายังโลกเพื่อทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อเรา พระเยซูคริสต์คือทางเดียวที่นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์บนสวรรค์ หนังสือกิจการ 4:12 กล่าวว่า “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” 1 ทิโมธี 2:5 กล่าวว่า “ด้วยเหตุว่า มีพระเจ้าองค์เดียวและมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์ ผู้ทรงประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับคนทั้งปวง…” หนังสือยอห์น 14:6 กล่าวว่า “พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา”, ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางในในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” ผู้ที่ไม่เชื่อในพระบุตรก็ไม่คุณสมบัติพอสำหรับความรอด (ยอห์น 3:16, 36)

    จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าลัทธิสากลนิยม หรือ ความรอดสากลเป็นความเชื่อที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อในพระคัมภีร์ ความเชื่อในลัทธิสากลนิยมไม่ได้สอดคล้องกับคำสอนในพระคัมภีร์ แม้ว่ามีคนหลายคนกล่าวหาว่าคริสเตียนใจแคบและ “ไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น” แต่ที่สำคัญคือเราจะต้องจำไว้ว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เป็นพระวจนะของพระคริสต์เอง ผู้เชื่อในพระองค์ไม่ได้ไม่ได้พัฒนาแนวความคิดนี้ขึ้นมาเอง คริสเตียนเพียงแต่ยกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้มาบอกเท่านั้น ผู้คนเลือกที่จะปฏิเสธข่าวประเสริฐเพราะเขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับความบาปของตัวเอง และยอมรับว่าเขาต้องการองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยเขาให้รอด การที่จะพูดว่าผู้ที่ปฏิเสธความรอดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ผ่านทางพระบุตรก็จะได้รับความรอดเช่นกัน เป็นการทำให้ความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และยุติธรรมของพระเจ้าด้อยค่า และเป็นการปฏิเสธความจำเป็นในการเสียสละของพระคริสต์เพื่อไถ่บาปให้กับเรา



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ลัทธิสากลนิยม/ความรอดสากล ถูกต้องตามพระคัมภีร์ไหม?
  • มุมมองเกี่ยวกับยุคสุดท้ายของผู้ที่เชื่อว่าคำพยากรณ์ในหนังสือวิวรณ์สำเร็จลงแล้วเป็นอย่างไร?




    คำถาม: มุมมองเกี่ยวกับยุคสุดท้ายของผู้ที่เชื่อว่าคำพยากรณ์ในหนังสือวิวรณ์สำเร็จลงแล้วเป็นอย่างไร?

    คำตอบ:
    ผู้ที่เชื่อว่าคำพยากรณ์ทั้งหมดในหนังสือวิวรณ์สำเร็จลงแล้วมองหนังสือวิวรณ์ว่าเป็นภาพของความขัดแย้งของคริสตจักรในยุคแรกซึ่งถูกทำให้สำเร็จลงไปแล้ว มุมมองนี้ปฏิเสธการพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเป็นเนื้อหาของหนังสือวิวรณ์ส่วนใหญ่ ในหลายระดับด้วยกันมุมมองนี้ตีความหมายคำอุปมาอุปมัยและสัญลักษณ์ในแง่ที่ว่าหนังสือวิวรณ์ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่จำเพาะเจาะจงในอนาคต ผู้ที่เชื่อว่าคำพยากรณ์ทั้งหมดในหนังสือวิวรณ์สำเร็จลงแล้วสอนว่าคำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคสุดท้ายในพันธสัญญาใหม่สำเร็จลงแล้วในปี ค.ศ 70 เมื่อชาวโรมันโจมตีและทำลายกรุงเยรูซาเล็มและอิสราเอล

    แม้ว่าจดหมายถึงคริสตจักรต่าง ๆ ในบทที่ 2 และ 3 ในหนังสือวิวรณ์จะเป็นจดหมายที่เขียนถึงคริสตจักร ในศตวรรษที่หนึ่งจริง ๆ และมีข้อความที่สามารถนำมาใช้สำหรับคริสตจักรในสมัยปัจจุบันได้ แต่บทที่ 6-22 เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องตีความหมายคำพยากรณ์ที่ยังไม่สำเร็จลงแบบคำอุปมาอุปมัย คำพยากรณ์ที่สำเร็จลงแล้วถูกทำให้สำเร็จอย่างที่พระคัมภีร์เขียนไว้ตามตัวอักษร ยกตัวอย่างเช่น ข้อพระคัมภีร์ทั้งหมดในพันธสัญญาเดิมพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์ แล้วพระองค์ก็เสด็จมาตามเวลาที่ได้ถูกพยากรณ์ไว้ (ดาเนียล 9:25-26) พระคริสต์ทรงถือกำเนิดมาจากหญิงพรมจรรย์ (อิสยาห์ 7:14) พระคริสต์ทรงทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปให้กับเรา (อิสยาห์ 53:5-9) นี่เป็นตัวอย่างแต่เพียงเล็กน้อยของคำพยากรณ์เป็นร้อย ๆ ข้อในพันธสัญญาเดิม ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้กับผู้เผยพระวจนะ ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และที่สำเร็จลงแล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะต้องพยายามอ่านคำพยากรณ์ที่ยังไม่สำเร็จลงเหมือนเป็นคำอุปมาอุปมัยหรือพยายามตีความหมายคำพยากรณ์ที่ยังไม่สำเร็จลงแบบอื่นแทนที่จะอ่านมันแบบปกติ

    เมื่อท่านอ่านหนังสือวิวรณ์บทที่ 6-18 ท่านก็กำลังอ่านเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ร้ายกาจที่สุดบนโลก – ช่วงเวลาที่สัตว์ร้าย (ผู้ต่อต้านพระคริสต์) จะครอบครองเป็นเวลาเจ็ดปี (ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากยิ่งใหญ่) และช่วงเวลาที่ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จจะยกสัตว์ร้ายขึ้นมาให้ผู้คนกราบไหว้บูชาราวกับว่ามันเป็นพระเจ้า ต่อจากนั้นในบทที่ 19 เหตุการณ์ทั้งหมดก็เข้าสู่จุดสุดยอดด้วยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ พระคริสต์ทรงมีชัยเหนือสัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จในสงครามอะมาเก็ดดอน และทรงส่งมันทั้งหลายลงไปยังบึงไฟนรก ในบทที่ 20 พระคริสต์ทรงขังซาตานไว้ในอเวจี แล้วทรงสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์บนโลกเป็นเวลา 1,000 ปี เมื่อจบ 1,000 ปี ซาตานจะถูกปล่อยออกมาและมันจะกบฏอีกในระยะสั้น ๆ แต่พระคริสต์ก็จะทรงสยบการก่อกวนนั้นแล้วส่งซาตานไปยังบึงไฟนรก แล้วก็มาถึงการพิพากษาครั้งสุดท้าย, การฟื้นขึ้นมาของผู้ไม่เชื่อทุกคนและการพิพากษาพวกเขา บทที่ 21 และ 22 บรรยายถึงสภาวะนิรันดร์ - ที่ผู้เชื่อจะได้ชื่นชมยินดีอยู่จำเพาะองค์พระผู้เป็นเจ้าและมีความสัมพันธ์กับพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร์

    ผู้เชื่อที่ว่าคำพยากรณ์ทั้งหมดในหนังสือวิวรณ์สำเร็จลงแล้วตีความหมายหนังสือวิวรณ์กลับไปกลับมา ตามความเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับยุคสุดท้าย พวกเขาเห็นว่าบทที่ 6-18 ในหนังสือวิวรณ์เป็นสัญลักษณ์และคำอุปมาอุปมัยเท่านั้น ไม่ใช่เหตุการณ์จริง แต่กลับเห็นว่าบทที่ 19 เป็นเหตุการณ์จริง พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาจริงในสภาพที่ทรงมีเนื้อหนังและร่างกาย ต่อมาพวกเขาบอกว่าเหตุการณ์ในบทที่ 20 เป็นเรื่องอุปมาอุปมัยอีก แต่บทที่ 21-22 เป็นความจริงส่วนหนึ่ง คือจะมีฟ้าสวรรค์และโลกใหม่จริง ไม่มีใครปฏิเสธว่าหนังสือวิวรณ์มีนิมิตที่น่าอัศจรรย์และในบางครั้งน่างง ไม่มีใครปฏิเสธว่าหนังสือวิวรณ์บรรยายเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างเป็นภาพอุปมา แต่การเลือกปฏิเสธคำบรรยายที่เขียนไว้ตรง ๆ ตามตัวอักษรของข้อพระคัมภีร์บางข้อในหนังสือวิวรณ์ ทำให้การตีความหมายข้อพระคัมภีร์ข้ออื่น ๆ ในหนังสือฉบับนี้ ที่บรรยายไว้ตรง ๆ ตามตัวอักษร ไม่มีหลักเกณฑ์ หากตราประทับ, แตร, ขัน, พยาน, 144000, สัตว์ร้าย, ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ, อาณาจักรพันปี ฯลฯ เป็นเพียงแค่คำอุปมาหรือสัญลักษณ์แล้ว เราเอาหลักเกณฑ์อะไรมาบอกว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์และโลกใหม่เป็นคำบรรยายตรงตามตัวอักษร? นี่คือความล้มเหลวของลัทธิที่เชื่อว่าคำพยากรณ์ทั้งหมดในหนังสือวิวรณ์สำเร็จลงแล้ว เนื่องจากมันแสดงให้เห็นว่าการตีความหมายของหนังสือวิวรณ์เป็นการตีความหมายตามความเห็นของผู้ตีความหมายเท่านั้น อันที่จริงแล้วเราจะต้องอ่านหนังสือฉบับนี้, เชื่อและปฏิบัติตามที่พระคัมภีร์เขียน พระคัมภีร์เขียนว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • มุมมองเกี่ยวกับยุคสุดท้ายของผู้ที่เชื่อว่าคำพยากรณ์ในหนังสือวิวรณ์สำเร็จลงแล้วเป็นอย่างไร?
  • ลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต คืออะไร?




    คำถาม: ลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต คืออะไร?

    คำตอบ:
    ลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต (Open Theism) หรือ "openness theology" หรือ "openness of God," คือความพยายามที่จะอธิบายความหยั่งรู้อนาคตของพระเจ้ากับเจตนารมณ์อิสระของมนุษย์ หลักใหญ่ ๆ ของข้อโต้แย้งของลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต คือ: (1) มนุษย์มีเสรีภาพโดยแท้จริง, (2) หากพระเจ้าทรงหยั่งรู้อนาคตได้จริง ๆ มนุษย์ก็ไม่ได้มีเสรีภาพจริง, (3) ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอนาคต ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต เชื่อว่าอนาคตไม่มีการหยั่งรู้ได้ ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงรู้เท่าที่สามรถจะเป็นที่รู้ได้ แต่พระองค์ทรงไม่รู้อนาคต

    ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคตเอาความเชื่อเหล่านี้มาจากข้อพระคัมภีร์ที่พูดว่า “พระเจ้าทรงเปลี่ยนพระทัย” หรือ “ทรงประหลาดพระทัย” หรือ “ทรงเห็นว่า” (ปฐมกาล 6:6; 22:12; อพยพ 32:14; โยนาห์ 3:10) แต่เมื่อดูจากข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ อีกมากมายที่บอกว่าพระเจ้าทรงรู้อนาคต เราควรเข้าใจว่าพระเจ้าทรงอธิบายพระองค์เองในข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นเพื่อให้เราเข้าใจพระองค์ได้ พระเจ้าทรงรู้ว่าเราจะทำอะไรและจะตัดสินใจอย่างไร แต่พระองค์ทรง “เปลี่ยนพระทัย” ในแง่การกระทำของพระองค์โดยขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา การที่พระเจ้าทรง “ประหลาดพระทัย” และผิดหวังในความชั่วร้ายของมนุษย์ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงไม่ได้คาดหวังมากก่อนว่ามันจะไม่เกิดขึ้น

    ในทางตรงกันข้ามกับความเห็นของผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต หนังสือสดุดีนทที่ 139 ข้อ 4 และ 16 กล่าวว่า “แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด ดูเถิด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว …พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นส่วนประกอบของข้าพระองค์ในเมื่อยังไม่สมบูรณ์ ในวันทั้งหลายที่กำลังประกอบขึ้น เมื่อครั้งไม่เกิดขึ้น อวัยวะทั้งหลายของข้าพระองค์ก็ทรงจารึกไว้ในพระตำรับของพระองค์” พระเจ้าจะทรงทำนายรายละเอียดที่ซับซ้อนในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร หากพระองค์ทรงไม่รู้อนาคต? พระเจ้าจะทรงรับประกันความรอดตลอดชั่วนิรันดร์ให้กับเราได้อย่างไรหากพระองค์ทรงไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร?

    ท้ายที่สุดผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคตล้มเหลวในความพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่อธิบายไม่ได้ นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างความหยั่งรู้อนาคตของพระเจ้าและเจตนารมณ์เสรีของมนุษย์ เช่นเดียวกับผู้เชื่อในลัทธิแคลวินล้มเหลวในการพยายามทำให้เห็นมนุษย์เป็นแค่หุ่นยนตร์ที่ถูกใส่ข้อมูลล่วงหน้า ดังนั้นลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคตจึงล้มเหลวในแง่ที่ว่าพวกเขาปฏิเสธความเป็นสัพพัญญูของพระเจ้า เราจะต้องเข้าใจพระเจ้าด้วยความเชื่อ เพราะ “ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ก็ไม่ได้เลย” (ฮีบรู 11:6ก) ดังนั้นแนวความคิดของลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคตจึงเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ ความเชื่อเช่นนี้เป็นเพียงแค่อีกวิธีหนึ่งที่มนุษย์ผู้มีขีดจำกัดพยายามจะเข้าใจพระเจ้าผู้ทรงไม่มีขีดจำกัด ด้วยความคิดที่มีขีดจำกัดของเขา ซึ่งคล้าย ๆ กับการพยายามดื่มน้ำทะเลให้แห้งนั่นเอง ผู้ติดตามพระคริสต์ควรปฏิเสธลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต แม้ว่าลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต คือลัทธิที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการทรงรู้อนาคตของพระเจ้าและเจตนารมณ์เสรีของมนุษย์ คำอธิบายของพวกเขาไม่ตรงตามพระคัมภีร์



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ลัทธิที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงไม่รู้อนาคต คืออะไร?