• นา ๆ คำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์



    นา ๆ คำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์

    ใครคืออัครสาวก / อัครทูต ทั้ง 12 คน ของพระเยซูคริสต์?
  • มีสิ่งใดที่เป็นความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้หรือไม่?
  • พระบัญญัติ 10 ประการคืออะไร?
  • ทำไมชาวยิวและชาวอาหรับ / มุสลิมเกลียดชังกันและกัน?
  • พระคำภีร์ได้กล่าวถึงการยกความเป็นทาสหรือไม่?
  • คริสเตียนจำเป็นต้องปฎิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองหรือไม่?
  • สัตว์เลี้ยง/สัตว์ต่าง ๆ ได้ขึ้นสวรรค์ไหม? สัตว์เลี้ยง/สัตว์ต่าง ๆ มีจิตวิญญาณไหม?
  • พระเจ้ายังทรงให้นิมิตกับผู้คนในวันนี้หรือไม่? ผู้เชื่อควรให้นิมิตนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียนหรือไม่?
  • พระคำภีร์ได้บันทึกการตายของอัครทูตไว้หรือไม่? อัครทูตแต่ละคนได้ตายลงอย่างไร?
  • ทำไมพระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลให้เป็นชนชาติที่พระองค์ทรงเลือก?
  • คริสเตียนมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณอย่างไร?
  • มีสิ่งต่างๆเช่นมนุษย์ต่างดาวหรือยูเอฟโอไหม?
  • คริสเตียนตีความความฝันได้หรือไม่? ความฝันของเรามาจากพระเจ้าไหม?


  • กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • นา ๆ คำถามเกี่ยวกับพระคัมภีร์
  • ใครคืออัครสาวก / อัครทูต ทั้ง 12 คน ของพระเยซูคริสต์?




    คำถาม: ใครคืออัครสาวก / อัครทูต ทั้ง 12 คน ของพระเยซูคริสต์?

    คำตอบ:
    คำว่า “ สาวก” หมายถึง “ผู้เรียนรู้” หรือ “ผู้ติดตาม” คำว่า “อัครทูต” หมายถึง “ผู้ที่ถูกส่งออกไป” เมื่อครั้งที่พระเยซูคริสต์ยังทรงอยู่ในโลกนี้ เราได้เรียกทั้ง 12 คนนั้นว่า อัครสาวก ซึ่งทั้ง 12 คนนั้นได้ติดตามและได้เรียนรู้จากพระเยซูทั้งยังได้รับการสอนจากพระองค์ แต่ภายหลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว ทรงได้ส่งอัครสาวกให้ออกไปเป็นพยานถึงเรื่องราวของพระองค์ (มัทธิว 28:18-20 ; กิจการของอัครทูต 1:8) พวกเค้าจึงได้ถูกเรียกว่าเป็นอัครทูตทั้ง 12 คน อย่างไรก็ตามหากตอนนี้พระเยซูยังทรงอยู่ในโลกนี้เราก็สามารถใช้คำว่า อัครสาวก และ อัครทูต สลับสับเปลี่ยนกันได้ ซึ่งความหมายก็คือ การที่พระองค์ทรงสั่งสอนและส่งพวกเค้าออกไป

    ดั่งเดิมนั้นคำว่า อัครสาวก / อัครทูต ทั้ง 12 ของพระเยซูคริสต์ปรากฎอยู่ใน มัทธิว 10: 2-4 “อัครทูตสิบสองคนนั้นมีชื่อดังนี้ คนแรกชื่อซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องของเขา ยากอบบุตรเศเบดี กับยอห์นน้องของเขา ฟีลิป และบารโธโลมิว โธมัส และมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและเลบเบอัส ผู้ที่มีชื่ออีกว่าธัดเดอัส ซีโมนพรรคชาตินิยม และยูดาส อิสคาริโอท ที่ได้อายัดพระองค์ไว้นั้น” และยังมีพระคำภีร์ที่ได้กล่าวถึง อัครสาวก/อัครทูต ทั้ง 12 คนอีก ซึ่งอยู่ใน มาระโก 3:16-19 และ ลูกา 6:13-16 ถ้าเปรียบเทียบทั้ง 3 ข้อนี้จะเห็นว่ามีบางจุดที่ชื่อจะแตกต่างกัน

    ดูเหมือนว่า ธัดเดอัสจะรู้จักกันในนามของ “ยูดาสบุตรของยากอบ” (ลูกา 6:16) แล เลบเบอัสด้วย(มัทธิว 10:3) ซีโมนก็ยังถูกเรียกว่าซีโมนพรรคชาตินิยมด้วย (มาระโก 3:18) และยูดาส อิสคาริโอทผู้ที่อายัดพระเยซูได้ถูกแทนที่ในหมู่อัครทูตทั้ง12คนโดยมัทธิว (กิจการของอัครทูต 1:20-26) ครูสอนพระคำภีร์บางคนได้ให้ภาพของมัทธิวไว้เหมือนว่าเค้าเป็นสมาชิกที่ “ไม่สมบูรณ์” ของอัครทูตทั้ง 12 คน และเชื่อว่าคนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกให้มาแทนที่ยูดาส อิสคาริโอทนั้นคืออัครทูตเปาโลนั้นเอง

    อัครสาวก / อัครทูตทั้ง 12 คนนั้นเป็นบุคคลธรรมดาที่กพระเจ้าทรงใช้พวกเค้าในงานที่ ไม่ธรรมดา ใน 12 คนนั้นบ้างก็เป็นชาวประมง, คนเก็บภาษี และเป็นผู้ที่ต่อต้าน พระกิตติคุณได้บันทึกถึงเรื่องราวของการต่อสู้, การล้มลง และการลังเลสงสัยของทั้ง 12 คน ที่ติดตามพระเยซู แต่หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ องค์กพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงให้อัครสาวก / อัครทูต เหล่านั้นได้มีกำลังและเป็นคนของพระองค์อย่างแท้จริง และยังเป็น “พวกคว่ำโลกมนุษย์” (กิจการของอัครทูต 17:6) มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปนะหรือ? อัครสาวก / อัครทูต ทั้ง 12 คนนั้นได้ “อยู่กับพระเยซู” นั้นเอง (กิจการของอัครทูต 4:13) และเราก็สามารถที่จะอยู่กับพระองค์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน!



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ใครคืออัครสาวก / อัครทูต ทั้ง 12 คน ของพระเยซูคริสต์?
  • มีสิ่งใดที่เป็นความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้หรือไม่?




    คำถาม: มีสิ่งใดที่เป็นความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้หรือไม่?

    คำตอบ:
    การที่จะเข้าใจว่า มีสิ่งใดที่เป็นความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้นั้น ให้เรามาเริ่มต้นด้วยการให้คำจำกัดความของคำว่าความจริงว่าคืออะไร ในพจนานุกรมได้ให้คำจำกัดความของคำว่าความจริงไว้ว่า “การปฏิบัติเพื่อข้อเท็จจริงหรือความเป็นจริง : การประกาศความจริงหรือการยอมรับในสิ่งที่ถูกต้อง ; ยอมรับในสิ่งที่มีอยู่จริง หรือ เหตุการณ์จริง” ในเวลานี้บางคนอาจจะพูดว่า ไม่มีสิ่ใดที่เป็นความจริงอย่างแน่แท้ มันเป็นแค่การที่เรารับรู้และเป็นแค่ความคิดเห็นเท่านั้น อีกนัยหนึ่ง บางคนก็จะเถียงว่า มันจะต้องมีบางอย่างที่เป็นความจริงที่แน่แท้ เพราะฉะนั้น เมื่อมาพิจารณาถึงคำถามที่ถามว่า มีสิ่งใดที่เป็นความจริงที่แน่แท้นั้น เราเห็นถึงมุมมองที่คัดค้านกันอยู่สองมุมมองคือ

    มุมมองแรกบอกว่า ไม่มีความแน่แท้ใดๆซึ่งกำหนดความจริง คนที่มองแบบนี้นั้นเขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นสัมพันธ์กัน และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจริงที่แน่แท้ และไม่มีมูลฐานใดที่จะกำหนดได้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้อยู่ด้านบวกหรือด้านลบ มันเป็นสิ่งที่ถูกหรือเป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้นหากในเวลานั้นเราคิดว่ามันถูกมันก็ถูก ดังนั้นการที่ “จริยธรรมขึ้นอยู่กับสถานการณ์” นั้นจะนำไปสู่ “อะไรก็ได้ที่เรารู้สึกว่าดี” ทั้งในด้านจิตใจและวิถีชีวิต ซึ่งหากเป็นแบบนี้ก็จะมีผลกระทบอย่างมากทั้งต่อบุคคลเองและต่อสังคมด้วย

    และอีกมุมมองหนึ่งเชื่อว่ามีความจริงที่แน่แท้และมีมาตรฐานในการกำหนดว่าสิ่งใดที่เป็นความจริงและสิ่งใดที่ไม่ใช่ความจริง ดังนั้นการกระทำใดๆก็สามารถบอกได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ซึ่งพวกเขาสามารถวัดมาตรฐานของความจริงเหล่านั้นได้ คุณลองจินตนาการถึงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นได้ไหมหากว่าไม่มีความจริงที่แน่แท้ ตัวอย่างเช่นกฏในเรื่องของแรงโน้มถ่วงโลก หากไม่มีสิ่งใดที่แน่นอนวันหนึ่งเราอาจจะลอยขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าก็ได้ หรือจะวุ่นวายเพียงไรหากตัวเลขต่างๆมันไม่มีค่าที่สมบูรณ์ เช่น 2+2 ก็คงจะไม่ได้ 4 อีกต่อไป หากไม่มีสิ่งใดที่แน่แท้ โลกของเราก็คงจะมีแต่ความวุ่นวาย และคงไม่มีสูตรทางวิทยาศาสตร์ที่ตายตัว , ไม่มีกฏของฟิสิกต์ , ทุกสิ่งคงจะไม่มีความหมาย , ไม่มีมาตรฐานในการกำหนดสิ่งต่างๆ และไม่มีถูกไม่มีผิด หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงมันจะยุ่งเหยิงสักแค่ไหน แต่ยินดีด้วยที่จริงๆแล้วมันมีความจริงที่แน่แท้ และเราสามารถค้นพบและเข้าใจความจริงที่แน่แท้นั้นได้ด้วย

    คนบางคนคิดว่าการไม่มีความจริงที่แน่แท้เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล จริงๆแล้วหลายต่อหลายคนในปัจจุบันนี้กำลังยอมรับในทฤษฏีสัมพันธภาพ ซึ่งหัวใจหลักของทฤษฏีนี้คือการปฏิเสธความจริงที่แน่แท้ทุกอย่าง มีคำถามที่ดีมากที่จะถามคนที่กล่าวว่า “ไม่มีความจริงที่แน่แท้” คำถามนั้นก็คือ “คุณแน่ใจอย่างแน่แท้แล้วหรือว่ามันไม่มีความจริงที่แน่แท้” ซึ่งการพูดเช่นนั้นทำให้เรารู้ว่ายังมีความจริงที่แน่แท้อยู่นั่นเอง

    มีปัญหาต่างๆนานาที่ผู้คนต้องเอาชนะด้วยการยอมรับว่าไม่มีความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้ ปัญหาแรกคือการปฏิเสธตัวเอง ซึ่งจะเห็นได้จากคำถามที่ผ่านมา ความเป็นจริงแล้วผู้ที่ยืนหยัดว่าไม่มีความจริงที่แน่แท้แท้จริงพวกเขากำลังเชื่อในความแน่แท้อยู่ นั้นก็คือพวกเขาเชื่ออย่างแท้จริงว่าไม่มีความแน่แท้ ซึ่งเป็นตัวอย่างของหลักปรัชญาที่ว่าในตัวของคนนั้นมีทั้งในด้านที่เราเข้าข้างตัวเองและด้านที่ปฏิเสธตัวเอง ซึ่งการพูดว่าไม่มีความจริงที่แน่แท้นั้นเป็นการปฏิเสธตัวเองและอะไรที่เค้าพูดเค้ากลับเชื่อในสิ่งนั้น

    ปัญหาลำดับที่ 2 สำหรับผู้ที่เชื่อว่าไม่มีความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้ ก็คือ มนุษย์ทุกคนมีความรู้ที่จำกัด เพราะด้วยความเป็นมนุษย์ของเราทำให้เรามีข้อจำกัด ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถพูดได้ว่า “ไม่มีพระเจ้า” (แต่หลายคนก็ชอบพูดเช่นนั้น) เพราะว่าหากเราจะพูดเช่นนั้นได้ เราจะต้องรู้อย่างแท้จริงถึงการกำเนิดและการอวสานของโลก เมื่อผู้คนกล่าวว่าไม่มีพระเจ้าไม่มีความจริงที่แน่แท้ (ใจความสำคัญเหมือนกัน) พวกเขาไม่สามารถให้เหตุผลในสิ่งที่พวกเขาชอบพูดว่า “ด้วยความรู้ที่จำกัด ฉันไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า” หรือ “ด้วยความรู้ที่จำกัด ฉันไม่เชื่อว่ามีความจริงที่แน่แท้”

    ปัญหาลำดับที่ 3 ของผู้ที่ปฏิเสธว่ามีความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้ คือ ความจริงที่ว่า เราไม่สามารถที่จะเห็นความจริงผ่านจิตใต้สำนึก,ประสบการณ์ และสิ่งต่างๆที่เราเห็นใน “ โลกแห่งความเป็นจริง” ได้หากไม่มีความจริงที่แน่แท้ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งที่จะบอกได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งที่ “ถูกสำหรับคุณ” ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ “ถูกสำหรับฉัน” อยากให้เราได้ใช้เวลาในการพิจารณาสักครู่หนึ่ง ถ้าหากไม่มีความจริงที่แน่แท้และทุกอย่างนั้นสัมพันธ์กัน(การไม่มีมาตรฐานของสิ่งใดๆเลย) อะไรจะเกิดขึ้นหากแต่ละคนได้ตั้งกฏของตัวเองขึ้นมาในการดำเนินชีวิตและแต่ละคนก็คิดว่ากฏของเขาถูกต้อง ซึ่งปัญหาก็คือ หากเค้าคิดว่าตัวเองถูกต้องเค้าก็จะปะทะกับคนอื่น ตัวอย่างเช่น “ถูกต้องสำหรับฉัน” หรือไม่ ที่จะไม่สนใจดูไฟจราจรแม้ว่ามันกำลังเป็นสีแดงฉันก็จะไป หรือฉันก็คิดว่ามันถูกต้องที่ฉันจะขโมยของจากคุณ แต่คุณคงไม่คิดเหมือนฉัน บางคนอาจคิดว่าการฆ่าคนก็ไม่เห็นจะเป็นไร ดังนั้นเขาจึงพยายามฆ่าทุกคนด้วยการทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

    หากไม่มีมาตรฐานที่สมบูรณ์ ไม่มีความจริงที่แน่แท้และทุกอย่างนั้นสัมพันธ์กัน ก็เท่ากับว่าการฆ่าคนก็ถูกต้องเหมือนไม่ได้ฆ่าคน,การขโมยก็ถูกต้องเหมือนไม่ได้ขโมย,การทำในสิ่งที่โหดร้ายก็เท่ากับว่าเราไม่ได้ทำในสิ่งที่เป็นความโหดร้าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความหายนะ และการปฏิเสธว่าไม่มีความจริงที่แน่แท้ก็นำไปสู่หายนะอย่างง่ายดายเช่นกัน หากไม่มีความจริงที่แน่แท้ก็คงไม่มีใครพูดว่า “คุณควรทำสิ่งนั้น” หรือ “คุณไม่ควรทำสิ่งนั้น” หากไม่มีความจริงที่แน่แท้แม้แต่กฏหมายบ้านเมืองก็ไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในสังคมได้ คุณเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นไหม? จะเกิดความอลหม่านแค่ไหนหากแต่ละคนก็ทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกต้องในสายตาของตัวเอง ถ้าหากไม่มีความจริงที่แน่แท้ / ไม่มีมาตรฐานวัดว่าสิ่งใดถูกหรือผิด เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราไม่เคยแน่ใจเลย ผู้คนจะมีอิสระเสรีในการจะทำอะไรก็ได้ที่เค้าอยากทำ อาจจะเป็นการ มาตกรรม ,ข่มขืน,ขโมย,โกหก,หลอกลวง ฯลฯ และก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าสิ่งใดผิด เราจึงไม่สามารถมีรัฐบาล,ไม่มีกฏหมาย,ไม่มีการตัดสินคดี เพราะว่าก็ไม่มีใครสามารถพูดได้เช่นกันว่ามันถูกต้องหรือไม่ โลกที่ปราศจากความแน่แท้ก็คงจะเป็นโลกที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เราจะจินตนาการได้

    ในปัจจุบันเรามักจะได้ยินสำนวนที่ว่า “สิ่งนั้นอาจถูกต้องสำหรับคุณ แต่มันไม่ถูกต้องสำหรับฉัน” คนที่เชื่ออย่างนั้นเค้าจะไม่เชื่อในความจริงที่แน่แท้ เค้าจึงไม่สามารถขยายความคิดเกินกว่าเส้นแบ่งเขตของตัวเขาเองได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีคำตอบสุดท้ายของความหมายในชีวิตและไม่มีความหวังใดๆในชีวิต ทำให้ศาสนาเกิดความสับสนเนื่องจากทฤษฏีสัมพันธภาพนี้ เพราะทฤษฏีนี้จะนำไปสู่การที่ว่าไม่มีศาสนาใดที่เป็นความจริง ไม่มีทางใดที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ ทุกศาสนาก็จะล้มลงในที่สุด ทำไมในปัจจุบันนี้ผู้คนมักจะมองว่าทุกศาสนาก็มี “ความจริง”เสมอกันหมดแต่พวกเขาก็อ้างว่ามีทางเดียวที่จะนำไปสู่สวรรค์แต่ก็มักจะสอนตรงข้ามกับ “ความจริง”เสมอผู้ที่เชื่อในทฤษฏีความสัมพันธ์ที่สอนว่าทุกศาสนาเสมอภาคกันและทุกศาสนานำไปสู่สวรรค์ซึ่งมีผู้ที่เชื่อแบบนี้อยู่อย่างแพร่หลายในโลกนี้มักจะต่อต้านอย่างรุนแรงต่อการประกาศของคริสเตียนผู้ซึ่งเชื่อในพระคำภีร์ที่กล่าวว่าพระเยซูคริสต์นั้น “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และ เป็นชีวิต” ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา (ยอห์น 14:6 )

    และแม้ว่าการปฏิเสธความจริงที่แน่แท้เป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล แต่มุมมองที่ว่า “ทุกอย่างนั้นสัมพันธ์กัน” ได้กลายมาเป็นสโลแกนในการดำรงชีวิตของคนสมัยนี้ไปเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนทางโลกตะวันออก ผู้คนมากมายพากันปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่ามีสิ่งที่เป็นความจริงที่แน่แท้หรือมีสิ่งที่มีอยู่จริง จึงทำให้ผู้คนพากันทำในสิ่งที่เป็นสัมคมสมัยใหม่เป็นสังคมที่ให้ความสำคัญในเรื่องของ คุณค่า ,ความเชื่อมั่น,การดำเนินชีวิต และการเรียกร้องความจริง

    ในความอดกลั้นต่อข้อเท็จจริงได้กลายเป็นคุณธรรมที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งในสังคม ทำให้สังคมสมบูรณ์ หากเราไม่อดกลั้นก็จะเกิดสิ่งเลวร้ายได้ในสังคม สังคมที่เชื่อว่าทุกสิ่งสัมพันธ์กันก็จะไม่ยอมรับผู้ที่เชื่อในความแน่แท้ ผู้ที่ปฏิเสธความจริงที่แน่แท้มักจะพูดว่า มันก็ถูกต้องที่คุณจะเชื่อในสิ่งที่คุณเชื่อตราบเท่าที่คุณไม่พยายามที่จะแสดงออกถึงความเชื่อของคุณต่อคนอื่น แต่คนที่มีมุมมองแบบนี้มักจะเชื่อว่าอะไรถูกอะไรผิดและเค้าเองก็มักจะแสดงออกให้ผู้อื่นได้รับรู้เช่นกัน แต่มักเป็นการหลอกลวง

    มีคำถามที่ขอให้ตอบคือ ทำไมผู้ที่ชอบบอกว่าตัวเองอดกลั้นนั้นกลับไม่อดกลั้นต่อผู้ที่เชื่อว่ามีความจริงที่แน่แท้? คำตอบง่ายๆคือ ผู้คนไม่ต้องการที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เค้าได้กระทำ หากมีความจริงที่แน่แท้ และมีมาตรฐานที่แน่ชัดว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด เราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านั้น ซึ่งความรับผิดชอบนี่เองที่ผู้คนพยายามที่จะไม่ยอมรับโดยการต่อต้านความจริงที่แน่แท้นั่นเอง

    ซึ่งสิ่งนี้เองได้นำไปสู่การปฏิเสธถึงความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้ และปลูกฝังในเรื่องทฤษฏีความสัมพันธ์ เค้าจะเชื่อในทฤษฏีวิวัฒนาการ ซึ่งหากการวิวัฒนาการเป็นความจริงชีวิตเราก็คงจะไม่มีความหมาย ไม่มีเป้าหมายในชีวิต และไม่มีสิ่งใดที่ถูกหรือผิดอย่างแท้จริง มนุษย์ก็จะมีอิสระเสรีไม่ต้องรับผิดชอบใดๆในสิ่งที่เขาทำ และไม่ว่ามนุษย์ที่เต็มไปด้วยความบาปต้องการที่จะปฏิเสธพระเจ้าที่ทรงมีพระชนม์อยู่และความจริงแน่แท้ของพระองค์สักเพียงใด วันหนึ่งพวกเขาก็ยังคงต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าในวันพิพากษาอยู่วันยังค่ำ พระคำภีร์ได้กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป” (โรม 1:18-22)

    คำถามสุดท้ายที่เราควรถามคือ เมื่อพิจารณาแล้วว่าความจริงที่แน่แท้นั้นจะมีอยู่หรือไม่ก็ตาม มีสิ่งได้ที่ชี้ให้เราเห็นได้ง่ายๆว่ามีความจริงที่แน่แท้อยู่หรือไม่? เมื่อพิจารณาถึงคำถามนี้ให้ดี เราก็จะเข้าใจอย่างทันทีว่า มีสิ่งใดที่ชี้ให้เราเห็นอย่างชัดเจนไหมว่ามีการดำรงอยู่ของความจริงที่แน่แท้ ซึ่งพยานหลักฐานแรกที่ชี้ให้เราเห็นถึงการดำรงอยู่ของความจริงที่แน่แท้ คือจิตสำนึกของเราเอง ซึ่งจิตสำนึกนี่และจะบอกเราว่า โลกเรานี้ควรจะมี “หนทางที่แน่ชัด” ว่า สิ่งใด “ถูก” และสิ่งใด “ผิด” มันจะช่วยให้เราเข้าใจได้ว่ามันไม่ถูกต้องหากโลกเรามีแต่ ความทุกข์ทรมาน,การขาดอาหาร,การข่มขืน ,ความเจ็บปวด และความชั่วร้าย และทำให้เรารู้ว่า ความรัก ,ความมีน้ำใจ,ความเมตตา และสันติสุข นั้นเป็นสิ่งที่เราควรจะได้มา พระคำภีร์ได้กล่าวถึงจิตสำนึกของมนุษย์ไว้ในโรม 2:14-16 ว่า “เมื่อคนต่างชาติซึ่งไม่มีธรรมบัญญัติได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านั้นแม้ไม่มีธรรมบัญญัติก็เป็นธรรมบัญญัติให้ตัวเอง แม้ว้าเขาจะไม่มีธรรมบัญญัติก็ตาม เขาแสดงให้เห็นว่าหลักความประพฤติที่เป็นตามธรรมบัญญัตินั้น มีจารึกอยู่ในจิตใจของเรา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละจะกล่าวโทษตัวเขา หรืออาจจะแก้ตัวให้เขา ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาความลับของมนุษย์โดยพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้ตามข่าวประเสริญที่ข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น”

    พยานหลักฐานที่2 ที่ชี้ให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของความจริงที่แน่แท้ นั้นคือด้านของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นความรู้ เป็นการเรียนรู้ในสิ่งที่เรารู้และค้นหาที่จะรู้มากขึ้น เพราะฉะนั้นการเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ควรจะอยู่บนรากฐานของความเป็นจริงที่ว่ามันต้องเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่มีอยู่จริงในโลกนี้ และหากปราศจากสิ่งที่แน่แท้ อะไรที่เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์? จะมีใครรู้ไหมว่าจะสามารถค้นพบสิ่งที่มีอยู่จริงได้อย่างไร? หลักข้อเท็จจริงของวิทยาศาสตร์คือ มันต้องเป็นสิ่งที่สามารถค้นพบได้แน่นอนเสมอ

    พยานหลักฐานที่ 3 ที่ชี้ให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้คือ การดำรงอยู่ของศาสนา ทุกศาสนาในโลกพยายามที่จะให้นิยามและความหมายของชีวิต มีข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์ปรารถนาบางสิ่งบางอย่างมากกว่าการมีชีวิตที่ธรรมดาง่ายๆ เบื้องหลังของศาสนาทั้งหลายนั้นมักสอนในความเชื่อที่ว่าต้องมีอะไรในชีวิตมากกว่าที่เราเป็นอยู่และรู้ในเวลานี้ ซึ่งเราสามารถรู้ได้ผ่านทางศาสนา ผู้คนมากมายกำลังมองหาหลักประกันและความหวังใจสำหรับอนาคต , มองหาการยกโทษความผิดบาป,มองหาสันติสุขท่ามกลางความโหดร้ายรอบตัว และมองหาคำตอบให้กับคำถามในชีวิต ศาสนาเป็นสิ่งที่เรามีต่างจากสัตว์ ทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิต และมีความจริงที่ว่าในโลกนี้มีพระผู้สร้างที่แท้จริงด้วย

    ขอบคุณพระเจ้าที่มีพระผู้สร้างและทรงให้เราได้รู้ความจริงนี้ผ่านทางพระคำของพระองค์ นั้นก็คือพระคำภีร์ พวกเขาพยายามต้องการที่จะรู้ถึงความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้ ซึ่งทางเดียวที่เราจะสามารถรู้ได้ก็โดยการมีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ทรงเป็น “ความจริง” แต่เพียงผู้เดียว “พระเยซูตรัสกับเขาว่า เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6) ข้อเท็จจริงที่ว่าความจริงที่แน่แท้นั้นมีอยู่จริงได้ชี้ให้เราเห็นว่ามีพระเจ้าจอมราชาผู้ที่ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทรงให้พระองค์เองแก่เราเพื่อที่เราจะได้รู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัวผ่านทางพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสต์นั้นเอง



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • มีสิ่งใดที่เป็นความจริงที่แน่แท้ / ความจริงที่ถ่องแท้หรือไม่?
  • พระบัญญัติ 10 ประการคืออะไร?




    คำถาม: พระบัญญัติ 10 ประการคืออะไร?

    คำตอบ:
    พระบัญญัติ 10 ประการคือข้อกฏหมาย 10 ข้อที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับชนชาติอิสราเอลได้ปฏิบัติหลังจากได้อพยพออกจากแผ่นดินอียิปต์ พระบัญญัติ 10 ประการนี้ได้สรุปรวบรวมจากพระบัญญัติที่มีอยู่ในพระคำภีร์เดิมทั้งหมด 600 กว่าข้อ พระบัญญัติ 4 ข้อแรกได้พูดถึงการปฏิบัติและความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า และ 6 ข้อหลังได้พูดถึงการปฏิบัติและความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่น ซึ่งพระบัญญัติ 10 ประการนี้ได้บันทึก

    ไว้ในพระคำภีร์พระธรรม อพยพ 20: 1-17 และพระธรรม เฉลยธรรมบัญญัติ 5:6-21 ดังนี้

    ข้อที่ 1 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” บัญญัติข้อนี้ได้ต่อต้านการนมัสการพระอื่นเพราะมีพระเจ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียวเท่านั้น นอกนั้นเป็นพระเจ้าเท็จ

    ข้อที่ 2 “อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดที่อยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื่องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน” พระบัญญัติข้อนี้การต่อต้านการสร้างรูปเคารพ,การสร้างตัวแทนของพระเจ้าที่เรามองเห็นได้ ไม่มีสิ่งจำลองใดที่เราสามารถสร้างให้เหมือนกับพระเจ้าที่แท้จริงได้ การสร้างรูปเคารพเปรียบเสมือนกับการนมัสการพระเจ้าเท็จนั้นเอง

    ข้อที่ 3 “อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไม่สมควรนั้นพระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้” พระบัญญัติข้อนี้ได้ต่อต้านการกล่าวถึงพระนามของพระเจ้าอย่างไม่เหมาะสม เราแสดงถึงการเคารพต่อพระเจ้าโดยการกล่าวถึงพระองค์ด้วยความสุภาพและให้เกียรติพระองค์เสมอ

    ข้อที่ 4 “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ จงทำการงานของเจ้าทั้งสิ้นหกวัน แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพราะในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้า และแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธ์” พระบัญญัติข้อนี้ได้ตั้งไว้ให้วันสะบาโต (ซึ่งวันเสาร์นั้นถือเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์)เป็นวันที่เราได้อุทิศให้กับพระเจ้า

    ข้อที่ 5 “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า” พระบัญญัติข้อนี้สอนให้เราปฏิบัติต่อบิดามารดาของเราด้วยความเคารพและนับถือ

    ข้อที่ 6 “อย่าฆ่าคน” พระบัญญัติข้อนี้ได้ต่อต้านการฆ่าผู้อื่นด้วยการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้ว

    ข้อที่ 7 “อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา” พระบัญญัติข้อนี้ได้ต่อต้านการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นนอกเหนือจากคู่สมรสของตัวเอง

    ข้อที่ 8 “อย่าลักทรัพย์” พระบัญญัติข้อนี้ได้ต่อต้านการเอาสิ่งของของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของตัวเองโดยที่ไม่ได้ขออนุญาติจากเจ้าของก่อน

    ข้อที่ 9 “อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน” พระบัญญัติข้อนี้ได้ต่อต้านการเป็นพยานเท็จต่อความผิดของผู้อื่น และเป็นข้อบัญญัติที่สำคัญมากในการที่เราควรต่อต้านการพูดเท็จต่างๆ

    ข้อที่ 10 “อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้านหรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลา ของเขา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน” พระบัญญัติข้อนี้ได้ต่อต้านการอยากได้ของของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของเรา ความโลภสามารถนำเราไปสู่ความแตกแยก และการฆ่าคน, การล่วงประเวณี และการขโมย ถ้าการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นความผิด การคิดที่จะทำสิ่งนั้นก็เป็นความผิดเช่นกัน



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • พระบัญญัติ 10 ประการคืออะไร?
  • ทำไมชาวยิวและชาวอาหรับ / มุสลิมเกลียดชังกันและกัน?




    คำถาม: ทำไมชาวยิวและชาวอาหรับ / มุสลิมเกลียดชังกันและกัน?

    คำตอบ:
    ประการแรก จำเป็นมากที่เราต้องเข้าใจก่อนว่าชาวอาหรับไม่ได้เป็นมุสลิมทุกคน และมุสลิมทุกคนก็ไม่ได้เป็นชาวอาหรับ แต่ส่วนใหญ่ของชาวอาหรับคือมุสลิม และมีชาวอาหรับอีกมากมายที่ไม่ใช่มุสลิม และมีหลายแห่งที่ชาวอาหรับไม่ใช่มุสลิมมากกว่าชาวอาหรับที่เป็นมุสลิม เช่นที่(อินโดนีเซีย และมาเลเซีย) ประการที่สอง จำเป็นมากที่เราต้องจำไว้ว่า ไม่ใช่ชาวอาหรับทุกคนที่เกลียดชาวยิว และไม่ใช่ชาวยิวทุกคนที่เกลียดชังชาวอาหรับและมุสลิม เราต้องระมัดระวังที่จะกล่าวแบบตายตัวกับเรื่องแบบนี้ อย่างไรก็ดี คนทั่วก็มักจะมองว่าชาวอาหรับและมุสลิมจะไม่ชอบและไม่ไว้ใจต่อชาวยิว , แต่ในทางกลับกัน

    ได้มีการอธิบายอย่างชัดเจนไว้ในพระคำภีร์ ย้อนกลับไปที่ อับราฮัม ชาวยิวนั้นเป็นทายาทของอัสอัคบุตรชายของอับราฮัม ส่วนชาวอาหรับนั้นเป็นทายาทของอิชมาเอลบุตรของอับราฮัมเช่นกัน แต่ว่าอิชมาเอลนั้นเป็นลูกของหญิงทาส (ปฐมกาล 16:1-16) และอิสอัคคือผู้ที่ได้รับคำสัญญาที่จะได้รับมรดกสืบทอดจากอับราฮัม (ปฐมกาล 21:1-3) จะเห็นอย่างชัดเจนว่าระหว่างลูกชายทั้งสองนั้นมีความไม่พอใจกันอยู่ซึ่งเป็นผลมาจากการที่อิชมาเอลได้เยอะเย้ยอิสอัค (ปฐมกาล 21:9) ซาราห์ได้พูดกับอับราฮัมให้ไล่ฮาการ์และอิชอาเอลออกไป (ปฐมกาล 21:11-21) และสิ่งนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้อิชมาเอลรู้สึกว่าอิสอัคได้ดูถูกเค้า และทูตของพระเจ้าได้พยากรณ์ต่อฮาการ์ว่าอิชมาเอลนั้น “เค้าจะอาศัยตรงหน้าพี่น้องของเค้า” (ปฐมกาล 16 :11-12)

    ศาสนาอิสลามนั้นส่วนใหญ่นับถือโดยชาวอาหรับ พระคำภีร์อัลกุรอานได้บันทึกคำสั่งสอนในเรื่องของความเป็นศัตรูต่อกันของชาวมุสลิมต่อชาวยิว พระคำภีร์อัลกุรอ่านได้พูดถึงความขัดแย้งกันระหว่างบุตรชายทั้งสองว่าคนใดคือผู้ที่ด้รับมรดกสัญญาของอับราฮัมที่แท้จริง ซึ่งในพระธรรมฮีบรูได้กล่าวว่าเป็นอิสอัค แต่พระคำภีร์อัลกุรอานกล่าวว่าเป็นอิชมาเอล และยังสอนไว้ว่าอิชมาเอลต่างหากที่อับราฮับเกือบจะถวายบูชาต่อพระเจ้าไม่ใช่อัสอัค (ซึ่งแตกต่างจากพระธรรมปฐมการ บทที่ 22) การถกเถียงว่าใครคือผู้ไดรับมรดกสัญญาทำให้เกิดการขัดแย้งในทุกวันนี้นี่เอง

    อย่างไรก็ดี รากเก่าแก่ของความขมขื่นระหว่างอิสอัคกับอิชมาเอล ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับชาวมุสลิมในทุกวันนี้ จริงๆแล้วประวัติศาสตร์เป็นพันๆปีที่ผ่านมาของชาวตะวันออกกลางได้กล่าวว่า ชาวยิวและชาวอาหรับได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติภาพไม่มีความแตกแยกกัน แต่สาเหตุหลักของความแตกแยกนี้ได้เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อองค์การสหประชาชาติได้ยกที่ดินของชาวอิสราเอลต่อชาวยิว ซึ่งในเวลานั้นชาวอาหรับได้อาศัยอยู่บนที่ดินนั้นเป็นส่วนใหญ่ (ชาวปาเลสไตล์) ซึ่งชาวอาหรับส่วนมากได้ประท้วงต่อการครอบครองที่ดินของชาวอิสราเอล และสหประชาชาติอาหรับได้ทำการโจมตีอิสราเอลเพื่อที่จะให้พวกเขาออกไปจากที่ดินนั้น แต่พวกเค้าก็ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่ออิสราเอล นับแต่นั้นเป็นเป็นมา ความขัดแข้งครั้งใหญ่ระหว่างอิสราเอลกับเพื่อนบ้านชาวอาหรับก็เกิดขึ้น ถ้าคุณมองดูในแผนที่ อิสราเอลนั้นมีพื้นที่อยู่เพียงเล็กๆแต่แวดล้อมด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ของชาวอาหรับ เช่น จอร์แดน,ซีเรีย,ซาอุดิอาระเบีย,อีรักและอียิปต์ ซึ่งหากมองในมุมมองของเรานั้นพระคำภีร์ได้กล่าวว่าอิสราเอลมีสิทธิ์ถูกต้องที่จะอยู่ในที่ดินนั้น พระเจ้าได้ให้ที่ดินของอิสราเอลต่อทายาทของยาโคบ หลานชายของอับราฮัม ในเวลาเดียวกันเราก็มีความเชื่ออย่างจริงจังว่า อิสราเอลนั้นได้แสวงหาเสรีภาพและแสดงความให้เกียรติต่อเพื่อนบ้านชาวอาหรับด้วย ใน สดุดี 122:6 ได้กล่าวไว้ว่า “จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็มว่า : ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ”



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ทำไมชาวยิวและชาวอาหรับ / มุสลิมเกลียดชังกันและกัน?
  • พระคำภีร์ได้กล่าวถึงการยกความเป็นทาสหรือไม่?




    คำถาม: พระคำภีร์ได้กล่าวถึงการยกความเป็นทาสหรือไม่?

    คำตอบ:
    เป็นไปได้ว่าเรามองเรื่องของทาสว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมานาแล้ว แต่พอจะคาดเดาได้ว่าในปัจจุบันก็ยังมีคนในโลกนี้ที่ยังเป็นทาสอยู่ถึง 12.3 ล้านคน นั้นก็คือพวก : ถูกบังคับให้ค้าแรงงาน , การค้าเพศ ฯลฯ และยังมีพวกที่เป็นทาสของความบาปด้วย การติดตามพระเยซูคริสต์เป็นชัยชนะในการจบความเป็นทาส และคำถามที่ถามว่า ทำไมพระคริสต์จึงไม่กล่าวอย่างชัดเจนในเรื่องของการกล่าวโทษต่อทาส? ทำไมพระคำภีร์ที่เป็นความจริงนี้ดูเหมือนจะยังสนับสนุนให้คนเป็นทาสอยู่

    พระคำภีร์ไม่ได้คัดค้านการปฏิบัติต่อความเป็นทาส แต่พระคำภีร์ได้แนะนำว่าทาสควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างไร (เฉลยธรรมบัญญัติ 15:12-15 ; เอเฟซัส 6:9 ; โคโลสี 4:1) คนมายมายเห็นในสิ่งที่พระเจ้าได้ยกโทษต่อความเป็นทาส แต่หลายคนก็ยังขาดความเข้าใจว่าความเป็นทาสในพระคำภีร์แตกต่างอย่างมากต่อความเป็นทาสในสองสามศตวรรษที่ผ่านมาของโลก ความเป็นทาสในพระคำภีร์ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเผ่าพันธ์ ผู้คนไม่ได้เป็นทาสเพราะเชื้อชาติหรือสีผิว ในพระคำภีร์ในเวลานั้นความเป็นทาสส่วนมากจะเกิดจากสถานะทางสังคม ผู้คนต้องขายตัวเองไปเป็นทาสเพราะพวกเขาไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ หรือไปเป็นทาสเพราะต้องช่วยเหลือครอบครัว ในพระคำภีร์ในพันธสัญญาใหม่ บางครั้งหมอ , นักกฏหมาย,หรือแม้แต่นักการเมือง ก็ยังเป็นทาสของคนบางคนด้วย จริงๆแล้วบางคนก็เลือกที่จะเป็นทาสเพราะว่าเค้าจะไดรับสิ่งต่างๆที่เป็นสิ่งที่ต้องการผ่านทางเจ้านายของเค้าด้วย

    ความเป็นทาสในสองสามศตวรรษที่ผ่านมาส่วนใหญ่อยู่บนพื้นฐานของเรื่องสีผิด ชนผิวดำเป็นทาสเพราะเชื้อชาติของพวกเขา – พวกเจ้านายมากมายมีความเชื่อที่ว่า ชนผิวดำนั้น “มีความเป็นมนุษย์ด้อยกว่า” ชนผิวขาว พระคำภีร์ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ว่าความเป็นทาสขึ้นอยู่กับพื้นฐานของเผ่าพันธ์ ให้เรามาพิจารณาถึงความเป็นทาสของชาวฮีบรูที่เข้าไปในอียิปต์ คนฮีบรูต้องเป็นทาสไม่ใช่เพราะพวกเขาเลือกที่จะเป็น แต่พวกเขาเป็นทาสเพราะพวกเขาเป็นคนฮีบรู (อพยพ 13:14) และพระเจ้าให้มีโลกระบาดเกิดขึ้นในอียิปต์ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรต่อความเป็นทาสเพราะเผ่าพันธ์ (อพยพ 7-11) ใช่พระคำภีร์ไม่ได้คัดค้านการเป็นทาส แต่ในเวลาเดียวกัน พระคำภีร์ก็ไม่เห็นด้วยในการมีทาส ใจความหลักก็คือ ความเป็นทาสที่พระคำภีร์ยอมรับนั้นไม่ใช่ความเป็นทาสเพราะเผ่าพันธ์ ซึ่งมันเกิดขึ้นในสองสามศตวรรษที่ผ่านมา

    จุดประสงค์ของพระคำภีร์นั้นชี้ให้เป็นถึงทางแห่งความรอด ไม่ใช่เพื่อให้สังคมดีขึ้น พระคำภีร์เข้าถึงสิ่งที่อยุ่ข้างใน หากเรามีประสบการณ์ในเรื่องความรัก , ความเมตตา , และพระคุณของพระเจ้า และรับเอาความรอดจากพระองค์ พระองค์จะทรงประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับเรา จะทรงเปลี่ยนทัศนคติความคิดของเรา คนที่มีประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงประทานความรอดและชัยชนะของการเป็นทาสของความบาป เค้าจะเรียนรู้ว่า การเป็นทาสของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ผิด ผู้ที่มีประสบการณ์ได้รับความเมตตาจากพระเจ้าเค้าก็จะเมตตาต่อผู้อื่น นั้นก็คือการที่พระคำภีร์ได้จบความเป็นทาสไว้นั่นเอง



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • พระคำภีร์ได้กล่าวถึงการยกความเป็นทาสหรือไม่?
  • คริสเตียนจำเป็นต้องปฎิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองหรือไม่?




    คำถาม: คริสเตียนจำเป็นต้องปฎิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองหรือไม่?

    คำตอบ:
    โรม 13:1-7 กล่าวไว้ว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืน อำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษเพราะว่าผู้ครอบครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับคนที่ทำความดี แต่ว่าเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ทำความชั่ว ท่านไม่อยากจะกลัวผู้มีอำนาจหรือ ถ้าเช่นนั้นก็จงประพฤติแต่ความดี แล้วท่านก็จะได้เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจนั้น เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อให้ประโยชน์แก่ท่านแต่ถ้าท่านทำความชั่วก็จงกลัวเถิด เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นหาได้ถือดาบไว้เฉยๆไม่ ท่านเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และจะเป็นผู้ลงพระอาชญาแทนพระเจ้าแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว เหตุฉะนั้นท่านจะต้องอยู่ในบังคับบัญชา มิใช่เพราะเกรงพระอาชญาสิ่งเดียว แต่เพราะจิตที่สำนึกผิดชอบด้วย เพราะเหตุผลอันเดียวกันท่านจึงได้เสียส่วยสาอากรด้วยเพราะผู้มีอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่ ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ จงเสียส่วยสาอากรตามที่ควร เสียภาษีตามที่ควร ความยำเกรงควรแก่ผู้ใด จงยำเกรงผู้นั้น จงให้เกียรติยศแก่ผู้ที่ควรจะได้รับ”

    ข้อพระคำภีร์ที่ยกมานี้ค่อนข้างที่จะชัดเจนและสมบูรณ์ เราต้องเชื่อฟังกฏหมายบ้านเมืองที่พระเจ้าทรงตั้งให้อยู่เหนือเรา และพระเจ้าทรงสร้างบ้านเมืองให้มีระเบียบวินัย ,ลงโทษในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และสนับสนุนความยุติธรรม (ปฐมกาล 9:6 , 1โครินธ์ 14:33, โรม 12:8) เราต้องเชื่อฟังกฏบ้านเมืองโดยการจ่ายภาษี ,เชื่อฟังข้อบังคับและกฏหมาย, แสดงถึงการให้เกียรติ ฯลฯ หากเราไม่ปฏิบัติตามนั้นหมายถึงเราแสดงถึงการไม่ให้เกียรติต่อพระเจ้าด้วย เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ตั้งกฏหมายบ้านเมืองให้กับเรา เมื่ออัครทูตเปาโลเขียนพระธรรมโรม 13:1-7 เค้าได้อยู่ภายใต้กฏหมายของโรม ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์เนโร เพราะฉะนั้นศัตรูทั้งหมายจึงอยู่ในจักรวรรติโรมันนั้นด้วย แต่เปาโลก็ยังต้องปฏิบัติตามกฏหมายของที่นั่น แล้วเราจะไม่ปฏิบัติตามหรือ?

    คำถามต่อไปคือ “มีไหมที่บางครั้งคริสเตียนสามารถไม่เชื่อฟังกฏหมายของบ้านเมือง?” คำตอบสามารถพบได้ใน กิจการของอัครทูต 5:27-29 “เมื่อเราได้พาพวกอัครทูตมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสถา มหาปุโรหิตประจำการจึงถามว่า “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะเจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา” ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆตอบว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” จากกพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นได้ว่าหากกฏหมายบ้านเมืองไม่ได้ขัดแย้งกับกฏของพระเจ้า เราต้องยอมน้อมรับที่จะเชื่อฟัง แต่หากกฏหมายบ้านเมืองนั้นขัดแย้งต่อพระบัญญัติของพระเจ้าเราก็จำเป็นที่จะไม่เชื่อฟังกฏหมายบ้านเมืองและเลือกที่จะเชื่อฟังกฏของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ตามตัวอย่างที่กล่าวมานี้เราก็ยังคงต้องยอมรับสิทธิอำนาจของกฏหมายบ้านเมืองที่ปกครองเราอยู่ นี่คือความจริงที่แสดงให้เห็นว่าทำไมเปโตรและยอห์นไม่ขัดขืนในขณะที่ถูกโบยตี แต่กลับมีความชื่นชมยินดีที่ได้ร่วมทุกข์ด้วยการเชื่อฟังพระเจ้าแทน (กิจการของอัครทูต 5:40-42)



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • คริสเตียนจำเป็นต้องปฎิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองหรือไม่?
  • สัตว์เลี้ยง/สัตว์ต่าง ๆ ได้ขึ้นสวรรค์ไหม? สัตว์เลี้ยง/สัตว์ต่าง ๆ มีจิตวิญญาณไหม?




    คำถาม: สัตว์เลี้ยง/สัตว์ต่าง ๆ ได้ขึ้นสวรรค์ไหม? สัตว์เลี้ยง/สัตว์ต่าง ๆ มีจิตวิญญาณไหม?

    คำตอบ:
    พระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัดเจนว่าสัตว์/สัตว์เลี้ยงมี “วิญญาณจิต” หรือไม่ หรือ สัตว์/สัตว์เลี้ยงจะได้ไปสวรรค์หรือไม่ แต่เราสามารถใช้หลักการทั่วไปในพระคัมภีร์ทำความเข้าใจหัวข้อนี้ได้ พระคัมภีร์บอกว่าทั้งผู้หญิง, ผู้ชาย (ปฐมกาล 2:7) และสัตว์ (ปฐมกาล 1:30; 6:17; 7:15-22) มีลมหายใจ ข้อแตกต่างเบื้องต้นระหว่างมนุษย์และสัตว์คือ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามแบบพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาล 1:26-27) แต่สัตว์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาตามแบบพระฉายาของพระองค์ การถูกสร้างขึ้นมาตามแบบพระฉายาของพระเจ้าหมายความว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามแบบพระเจ้า, มีวิญญาณจิต, ซึ่งประกอบด้วย ความคิด อารมณ์ และ เจตนารมณ์ – และ มีชีวิตหลังความตาย หากสัตว์/สัตว์เลี้ยงมี “วิญญาณจิต” หรือ วิญญาณจริง ๆ วิญญาณนั้นก็จะต้องแตกต่างหรือมี “คุณภาพ” ด้อยกว่าวิญญาณจิตของมนุษย์ ความแตกต่างนี้น่าจะหมายความว่า “วิญญาณจิต” ของสัตว์/สัตว์เลี้ยงไม่ดำเนินต่อไปหลังความตาย

    ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาสำหรับคำถามนี้คือ พระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการทรงสร้างของพระองค์ในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ขึ้นมาแล้วทรงเห็นว่าดี (ปฐมกาล 1:25) ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลว่าทำไมจึงจะไม่มีสัตว์ในโลกใหม่ (วิวรณ์ 21:1) สำหรับยุคพันปีมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องมีสัตว์อยู่ที่นั่นด้วย (อิสยาห์ 11:6; 65:25) แต่การที่จะพูดอย่างแน่นอนว่าสัตว์เหล่านั้นบางตัวอาจเป็นสัตว์เลี้ยงของเราในโลกนี้ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรารู้ว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม และเมื่อเราได้ไปสวรรค์เราก็จะรู้ว่าเราเห็นพ้องต้องกันกับพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรก็ตาม



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • สัตว์เลี้ยง/สัตว์ต่าง ๆ ได้ขึ้นสวรรค์ไหม? สัตว์เลี้ยง/สัตว์ต่าง ๆ มีจิตวิญญาณไหม?
  • พระเจ้ายังทรงให้นิมิตกับผู้คนในวันนี้หรือไม่? ผู้เชื่อควรให้นิมิตนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียนหรือไม่?




    คำถาม: พระเจ้ายังทรงให้นิมิตกับผู้คนในวันนี้หรือไม่? ผู้เชื่อควรให้นิมิตนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียนหรือไม่?

    คำตอบ:
    พระเจ้าสามารถให้นิมิตกับผู้คนในวันนี้ได้ไหม? คำตอบคือใช่ และพระเจ้าให้นิมิตกับผู้คนในวันนี้ไหม? ก็อาจเป็นไปได้ เราควรให้การได้รับนิมิตมาเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ปกติในชีวิตประจำวันหรือไม่? คำตอบคือไม่ควร ได้มีการบันทึกไว้ในพระคำภีร์ว่า พระเจ้าทรงตรัสกับมนุษย์หลายต่อหลายครั้งผ่านทางนิมิต ตัวอย่างเช่น ทรงตรัสกับ โจเซฟบุตรยาโคบ , โจเซฟสามีของนางมารีย์ , ซาโลมอน , อิสยา , เอเสเคียล , ดาเนียล , เปโตร , เปาโล และ คนอื่นๆอีกมากมาย

    ผู้พยากรณ์โยเอลได้ทำนายผ่านทางนิมิตและได้รับการยืนยันคำทำนายโดยอัครทูตเปโตรในพระธรรมกิจการของอัครทูต บทที่ 2 ,จำไว้ว่า ความแตกต่างระหว่างนิมิตและความฝันนั้นคือ เราได้รับนิมิตในขณะที่เรา “ยังตื่น”อยู่ แต่ความฝันเราได้รับเมื่อเรา “นอนหลับ”แล้ว

    หลายต่อหลายที่ในโลกนี้ ดูเหมือนว่าพระเจ้าได้ให้นิมิตและความฝันอยู่อย่างกว้างขวาง แม้ในพื้นที่เล็กๆที่พระกิตติคุณยังเข้าไม่ถึงพระเจ้าก็ตรัสข้อความของพระองค์โดยตรงด้วย ความสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ของพระคำภีร์ เป็นตัวอย่างของการให้นิมิตอยู่เสมอซึ่งพระเจ้าได้เปิดเผยความจริงของพระองค์ตั้งแต่วันแรกที่เรามาเป็นคริสเตียน (ดูในพระธรรมกิจการของอัครทูต) หากพระเจ้าต้องการที่จะบอกอะไรแก่เรา ทรงสามารถที่จะใช้วิธีอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็น – ผ่านทางมิชชันนารี , ทูตสวรรค์ , นิมิต , ความฝัน ฯลฯ ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่สามารถทำได้

    ในเวลาเดียวกัน เราควรที่จะระมัดระวังเมื่อเราได้รับนิมิตและระวังในการตีความนิมิตนั้น เราต้องจำไว้อยู่เสมอว่าพระคำภีร์ได้เสด็จสมบูรณ์แล้ว และบอกเราได้ทุกอย่างในสิ่งที่เราต้องการรู้ กุญแจสำคัญคือ หากพระเจ้าให้นิมิตกับเรา นิมิตนั้นจะต้องสอดคล้องกับพระคำของพระองค์ในพระคำภีร์ นิมิตไม่สามารถมีอำนาจเหนือกว่าพระคำของพระเจ้าได้ พระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีอำนาจสูงสุดต่อความเชื่อและการกระทำของคริสเตียน หากคุณเชื่อว่าคุณได้รับนิมิตและรู้สึกว่าพระเจ้าได้ให้นิมิตนั้นกับคุณจริง โปรดอธิษฐานอย่างจริงจัง ตรวจของพระคำของพระเจ้าและขอให้มั่นใจว่านิมิตนั้นได้สอดคล้องกับพระคำภีร์ หากว่าเป็นเช่นนั้นให้เราอธิษฐานและพิจารณาดูว่าพระเจ้าต้องการให้เราตอบสนองต่อนิมิตที่พระองค์ทรงให้อย่างไร (ยากอบ 1:5) ถ้าพระเจ้าทรงให้นิมิตกับเราพระองค์ก็จะบอกความหมายของนิมิตนั้นเสมอ ในพระคำภีร์บอกว่าเมื่อไรก็ตามที่เราขอให้ได้รู้ถึงความหมายของนิมิตนั้น พระเจ้าก็ให้ความหมายต่อผู้นั้นเสมอ (ดาเนียล 8:15-17)



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • พระเจ้ายังทรงให้นิมิตกับผู้คนในวันนี้หรือไม่? ผู้เชื่อควรให้นิมิตนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียนหรือไม่?
  • พระคำภีร์ได้บันทึกการตายของอัครทูตไว้หรือไม่? อัครทูตแต่ละคนได้ตายลงอย่างไร?




    คำถาม: พระคำภีร์ได้บันทึกการตายของอัครทูตไว้หรือไม่? อัครทูตแต่ละคนได้ตายลงอย่างไร?

    คำตอบ:
    พระคำภีร์ได้บันทึกการตายของอัครทูตไว้เพียงคนเดียวคือยากอบ (กิจการของอัครทูต 12:2) โดยกษัตริย์เฮโรดได้ฆ่าเค้า “ด้วยดาบ” และมีการอ้างอิงที่จะเป็นไปได้เช่นเดียวกันว่าเค้าอาจจะถูกตัดศรีษะ ส่วนการตายของอัครทูตคนอื่นๆนั้นจะรู้ได้โดยการสอนของแต่ละคริสตจักรเท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่ควรสนใจในเหตุการณ์ต่างๆมากนัก โดยทั่วไปคริสตจักรจะกล่าวถึงการตายที่โรมบนไม้กางเขนของอัครทูตเปโตรโดยการกลับหัวลงมาโดยไม้กางเขนกลับลงมาเป็นรูปตัวx ซึ่งเป็นไปตามคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์ (ยอน์น 21:18) ส่วน “เหตุการณ์”การตายของอัครทูตคนอื่นๆจะกล่าวเป็นลำดับต่อไป

    มัทธิวได้รับความทุกข์ทรมานจากการประกาศที่เอธิโอเปีย เค้าถูกฆ่าด้วยดาบ , ยอหน์ได้เผชิญกับความทุกข์ยากในการประกาศโดยเค้าถูกต้มด้วยน้ำมันที่เดือดจัดในอ่างขนาดใหญ่ ในระหว่างที่มีการข่มเหงเกิดขึ้นในกรุงโรม อย่างไรก็ดี เค้าเองได้รอดพ้นจากความตายอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง แต่ต่อมายอห์นได้รับการตัดสินให้จำคุกอยู่ในเกาะแพทมอส และเค้าได้เขียนคำพยากรณ์ซึ่งอยู่ในหนังสือวิวรณ์ที่เกาะนี้นั้นเอง หลังจากนั้นเค้าได้เป็นอิสระและกลับไปประกาศในที่ซึ่งเป็นประเทศตุรกีในปัจจุบัน และเค้าได้แก่ชราตาย และเป็นอัครทูตเพียงคนเดียวที่ตายอย่างสงบ

    ยากอบ พี่ชายของพระเยซู (เค้าไม่ได้เป็นอัครทูตอย่างเป็นทางการ) ซึ่งเป็นผู้นำของคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม ได้ถูกขว้างปาด้วยรองเท้ากว่าร้อยคู่จากยอดแหลมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพระวิหาร เพระเจ้าได้ปฏิเสธที่จะปฏิเสธความเชื่อของเค้าในพระคริสต์ และเมื่อพวกเค้ารู้ว่ายากอบรอดชีวิตพวกศัตรูก็ได้ตีเค้าด้วยไม้ตะบองจนตาย ซึ่งที่ที่เค้าตายนั้นเป็นยอดเขาเดียวกับที่ซาตานได้ทดลองพระเยซู

    บารโธโลมิว หรือ นาธานาเอล ได้ไปเป็นมิชชันนารีที่ทวีปเอเชีย และถวายชีวิตในการรับใช้เมื่อเค้าเทศนาสั่งสอนที่อามีเนีย โดยเค้าได้ตายด้วยการถูกเฆี่ยนตี แอนดรูได้ตายบนไม้กางเขนรูปตัวx ที่ประเทศกรีก หลังจากที่เค้าได้ถูกเฆี่ยนดีโดยทหาร 7 คน ซึ่งเค้าได้มัดแอนดรูด้วยเชือกที่ยาวไว้บนไม้กางเขน ซึ่งแอนดรูก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด เมื่อเค้าถูกนำตัวไปไว้บนไม้กางเขน เค้าได้โค้งคำนับและกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีความปรารถนาและคาดหวังที่จะมีช่วงเวลาแห่งความสุขเช่นนี้โดยการอุทิศถวายร่างกายของพระคริสต์ให้ถูกแขวนไว้บนไม้กางเขน” และเค้ายังคงเทศนาสั่งสอนให้กับผู้ที่จับเค้าทรมานไว้ถึง 2 วัน จนเค้าได้สิ้นใจในที่สุด , อัครทูตโทมัสได้ถูกแทงด้วยหอกที่อินเดียในระหว่างที่เค้าเดินทางไปตั้งคริสตจักรที่นั้น , อัครทูตมัทธิวถูกเลือกให้ไปแทนที่คนทรยศที่ชื่อ ยูดาส อิสคาริโอท ที่ถูกขว้างด้วยหิน และหลังจากนั้นก็ถูกตัดศรีษะ ,เปาโลได้ถูกทรมานและเวลาต่อมาเค้าได้ถูกตัดศรีษะโดยจักรพรรด์เนโรแห่งกรุงโรมในปีคศ.67 และสำหรับอัครทูตคนอื่นๆนั้นก็ได้มีการกล่าวต่อกันมาแต่ก็ไม่มีประวัติศาสตร์หรือสิ่งใดๆที่จะสนับสนุนและเชื่อถือได้

    ไม่สำคัญว่าอัครทูตเหล่านั้นได้ตายลงอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญคือความจริงที่ว่าทุกคนยอมตายเพื่อความเชี่อของพวกเขา หากพระเยซูไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์จริงๆพวกเค้าก็จะต้องรู้และแน่นอนว่าไม่มีใครยอมตายเพื่อสิ่งที่หลอกลวง และด้วยความจริงนี้เองที่ทำให้อัครทูตยอมที่จะ ตายอย่างทรมานและปฏิเสธที่จะเลิกล้มความเชื่อที่มีต่อพระคริสต์ และเป็นพยานในเรื่องความจริงที่ว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาจากความตายแล้วนั้นเอง



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • พระคำภีร์ได้บันทึกการตายของอัครทูตไว้หรือไม่? อัครทูตแต่ละคนได้ตายลงอย่างไร?
  • ทำไมพระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลให้เป็นชนชาติที่พระองค์ทรงเลือก?




    คำถาม: ทำไมพระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลให้เป็นชนชาติที่พระองค์ทรงเลือก?

    คำตอบ:
    เมื่อกล่าวถึงชนชาติอิสราเอล ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 7:7-9 ได้กล่าวไว้ว่า “ที่พระเจ้าทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้น มิใช่เพราะท่านทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าประชาชนชาติอื่น ด้วยว่าในบรรดาชนชาติทั้งหลายท่านเป็นจำนวนน้อยที่สุด แต่เพราะพระเจ้าทรงรักท่านทั้งหลาย และพระองค์ทรงรักษาคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย พระเจ้าจึงทรงพาท่านทั้งหลายออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และทรงไถ่ท่านทั้งหลายให้พ้นจากแดนทาส จากหัตถ์ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ เหตุฉะนั้นพึงทราบเถิดว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าสัตย์ซื่อผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน”

    พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลให้เป็นคนที่จะให้พระเยซูได้ทรงกำเนิดมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากความบาปและความตาย (ยอห์น3:16) ประการแรกพระเจ้าทรงให้สัญญาเกี่ยวกับพระเมสสิยา ภายหลังจากที่อดัมกับเอวาตกอยู่ในความผิดบาป (ปฐมกาล บทที่ 3) และหลังจากนั้นพระเจ้าทรงให้คำมั่นว่าพระเมสสิยาจะเสด็จมาทางเชื้อสายของอับราฮัม,อิสอัค และยาโคบ (ปฐมกาล12:1-3) นั้นก็หมายความว่า พระเยซูคริสต์คือเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงเลือกชนชาติอิสราเอลให้เป็นชนชาติของพระองค์ ซึ่งจริงๆแล้วพระองค์ไม่จำเป็นต้องมี “ชนชาติที่ทรงเลือก”ก็ได้ แต่พระองค์ทรงต้องการให้เป็นแบบนั้นเพราะว่าพระเยซูคริสต์จะต้องกำเนิดลงมาเป็นชนชาติใดชนชาติหนึ่ง และพระเจ้าก็ทรงเลือกอิสราเอล

    อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงเลือกอิสราเอลก็ไม่ใช่เป้าหมายในการสร้าง พระเมสสิยาซะทีเดียว พระเจ้าได้ตัดสินใจเลือกอิสราเอลเพื่อที่จะให้พวกเขาได้ออกไปสั่งสอนคนอื่นๆเกี่ยวกับพระเจ้า อิสราเอลนั้นแท้จริงเป็นชนชาติแห่งนักบวช,ผู้พยากรณ์ และ ผู้เผยแพร่ศาสนา พระเจ้าทรงปรารถนาให้อิสราเอลเป็นชนชาติที่แตกต่าง เป็นชนชาติที่นำผู้อื่นมาถึงพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์ที่จะทรงเป็น พระผู้ไถ่,พระเมสสิยา และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แต่ส่วนมากชนชาติอิสราเอลก็ล้มเหลวจากภาระงานที่ทรงมอบให้นี้ อย่างไรก็ดีพระเจ้าทรงมีเป้าหมายสำหรับชนชาติอิสราเอล และการเป็นพระเมสสิยาและพระผู้ช่วยให้รอดนั้นจะสมบูรณ์ได้ก็โดยองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • ทำไมพระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลให้เป็นชนชาติที่พระองค์ทรงเลือก?
  • คริสเตียนมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณอย่างไร?




    คำถาม: คริสเตียนมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณอย่างไร?

    คำตอบ:
    พระคำภีร์ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในการฝึกวิญญาณ ,การทรงเจ้า,การยุ่งกับสิ่งลึกลับ,การยุ่งเรื่องของวิญญาณ ฯลฯ (เลวีนิติ 20:27 ; เฉลยธรรมบัญญัติ 18: 10-13 ) โหราศาสตร์,ไพ่ทาโร่,ดาราศาสตร์,การทำนายอนาคต,หมอดูลายมือ,คนทรงเจ้า ฯลฯ ซึ่งการฝึกฝนสิ่งเหล่านี้นั้นมีพื้นฐานจากการที่ วิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วสามารถให้คำแนะนำและนำทางแก่คุณได้ แต่วิญญาณเหล่านี้นั้นคือผีมาร (2 โครินทร์ 11:14-15) พระคำภีร์ได้บอกเราไว้ว่า วิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วนั้นต้องการที่จะติดต่อกับเรา แต่ถ้าหากพวกเค้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า พวกเค้าก็จะได้ไปอยู่บนสวรรค์ และมีความสุขในที่ที่สวยงามที่สุดที่เราไม่สามารถจะจินตนาการได้ และได้สามัคคีธรรมร่วมกับพระเจ้า แต่หากคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า พวกเค้าก็จะอยู่ในบึงไฟนรก ทนทุกข์ทรมานไม่รู้จบเพราะเค้าได้ปฏิเสธความรักของพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ด้วย

    ดังนั้นหากผู้ที่จากไปไม่สามารถติดต่อกับเราได้ การทรงเจ้า,การทำสิ่งลึกลับ,การทำเรื่องวิญญาณ ฯลฯ จะทำให้เรารู้สิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้องอย่างไรได้? แต่ก็มีการ “เปิดเผย” ตัวเองของวิญญาณเช่นกัน บางครั้งมันบอกสิ่งที่เป็นชีวิตปกติของคุณได้ บางครั้งมันสามารถรู้เบอร์โทรศัพท์,รู้ชื่อ,ที่อยู่,วันเดือนปีเกิด,วันแต่งงาน,สมาชิกในครอบครัว ฯลฯ ของเราได้ด้วย บางครั้งมันก็รู้ในสิ่งที่มันไม่น่าจะรู้ได้ด้วย พวกมันได้ข้อมูลเหล่านั้นมาจากไหน? คำตอบก็คือ มาจากซาตานและผีมาร ใน 2 โครินทร์ 11:14-15 บอกเราไว้ว่า “การกระทำเช่นนั้นไม่แปลกประหลาดเลย” ถ้าซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่างได้ เหตุฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกอะไรที่คนรับใช้ของซาตานจะปลอมตัวเป็นคนรับใช้ของความชอบธรรม แต่สุดท้ายเค้าก็จะได้รับในสิ่งที่เค้าได้ทำ กิจการของอัครทูต 16:16-18 กล่าวถึงผู้ทำนายที่มาทำนายถึงอนาคตจนกระทั่งอัครทูตเปาโลได้สั่งให้ผีนั้นออกจากเธอ

    ซาตานสามารถแกล้งทำเป็นใจดีมีเมตตาช่วยเหลือเราได้อย่างดี มันพยายามที่จะแสดงออกถึงแต่สิ่งที่ดีๆ ซาตานและผีมารจะให้วิญญาณชั่วสามารถรับข้อมูลและรู้สิ่งต่างๆของบุคคลได้ และหากมีบุคคลหลงเชื่อ มันก็จะใช้เค้าเป็นเหยื่อให้ทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขัดขวาง ตอนแรกมันอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ไม่นานคนๆนั้นก็จะตกเป็นทาสของวิญญาณชั่วนั้น และซาตานก็จะควบคุมและทำลายชีวิตของเค้าในที่สุด 1เปโตร 5:8 กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” โดยส่วนใหญ่ วิญญาณชั่วมันชอบที่จะหลอกลวง และไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริงในสิ่งที่มันคิดว่ารู้ อย่างไรก็ดีไม่มีสิ่งใดที่จะเชื่อมโยงเราสู่วิญญาณชั่ว ,เวทมนตร์คาถา ,โหราศาสตร์ ฯลฯ ได้ หากพระเจ้าทรงอยู่กับเรา พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้น้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตของเราหรือไม่? ซึ่งเราสามารถรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้ง่ายๆโดย (1) ศึกษาพระคำภีร์ (2 ทิโมธี 3:16-17) , (2) อธิษฐานขอสติปัญญา (ยากอบ 1:5)



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • คริสเตียนมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณอย่างไร?
  • มีสิ่งต่างๆเช่นมนุษย์ต่างดาวหรือยูเอฟโอไหม?




    คำถาม: มีสิ่งต่างๆเช่นมนุษย์ต่างดาวหรือยูเอฟโอไหม?

    คำตอบ:
    หากเราคิดว่า “มนุษย์ต่างดาว” มีศักยภาพที่จะสามารถมีชีวิต , มีความรู้สึก , มีความต้องการ นั้น ก่อนอื่นให้เรามาดูข้อเท็จจริง 2-3 ข้อในด้านวิทยาศาสตร์กัน

    + มนุษย์ได้ส่งยานอวกาศไปยังดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยจักรวาล ยกเว้นพลูโต หลังจากได้สังเกตุดาวเคราะห์เหล่านี้ เราได้ค้นพบว่า ดาวอังคาร และอาจเป็นดวงจันทร์ของดาวพฤหัสที่ค้ำจุนสิ่งมีชีวิต

    + ในปี 1976 สหรัฐอเมริกาได้ส่งยานอวกาศ 2 ลำไปเทียบท่าที่ดาวอังคาร ซึ่งยานอวกาศทั้ง 2 ลำมีเครื่องมือในการขุดเจาะทราย และ เครื่องมือในการวิเคราะห์ว่ามี่ “สิ่งมีชีวิต” อยู่บนดาวอังคารบ้างหรือไม่ ซึ่งเค้าก็ค้นพบความจริงอย่างไม่ต้องสงสัยว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่เลย แต่หากเราขุดเจาะลงไปในทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดของโลก หรือขุดลงไปในน้ำแข็งที่หนาวเย็นที่สุดในขั้วโลกใต้ และวิเคราะห์ถึงผิวดินของสิ่งเหล่านี้ เราก็จะยังค้นพบการรวมตัวกันของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอยู่ ในปี 1997 สหรัฐอเมริกาได้ส่ง “ผู้บุกเบิกเส้นทาง”ไปที่ผิวของดาวอังคาร ซึ่งผู้บุกเบิกเหล่านี้นได้นำตัวอย่างของผิวดินมาทดลองต่างๆมากมาย ซึ่งพวกเค้าก็ได้ข้อสรุปเหมือนเดิมว่าไม่มีอะไรที่จะบอกได้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ที่นั้น ตั้งแต่วันนั้นก็มียานอวกาศถูกส่งไปยังดาวอังคารมากมาย เพียงเพื่อพวกเขาต้องการอยากจะรู้ในสิ่งเดียวกัน

    + นักดาราศาสตร์กำลังค้นหา “ดาวเคราะห์” ดวงใหม่ในระบบสุริยจักรวาล บางคนก็ได้นำเสนอว่ามีจริงมีชีวิตมากมายอยู่ใน “ดาวเคราะห์” ซึ่งมันจะต้องอยู่สักที่ใดที่หนึ่งในระบบสุริยจักรวาล แต่ความจริงก็คือ ไม่มีสิ่งใดใน “ดาวเคราะห์”ที่ถูกพิสูจน์ว่าได้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จริง ด้วยระยะทางที่ห่างไกลระหว่างโลกและดาวเคราะห์เหล่านี้จึงทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่นั้น การที่รู้ว่า โลกของเราเท่านั้นในระบบสุริยจักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ซึ่งพวกนักพัฒนาทั้งหลายต้องการที่จะค้นหาดาวเคราะห์ดวงอื่นๆในระบบสุริยจักรวาล เพื่อเขาต้องการเพื่อที่จะได้มาซึ่งข้อขัดแย้งที่ว่า มันน่าจะมี “ดาวเคราะห์”ดวงอื่นๆที่มีสิ่งมีชีวิตสักที่ใดที่หนึ่ง แต่เรารู้อย่างมั่นใจได้ว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่พวกเขาจะยืนยันได้ว่า ได้มีที่ที่ห่างไกลที่อื่นที่ได้ค้ำจุนสิ่งมีชีวิตอยู่

    ดังนั้นแล้วพระคำภีร์ได้บอกอะไรแก่เรา? โลกและมนุษย์ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการทรงสร้างของพระเจ้า ในพระธรรมปฐมกาล บทที่ 1 ได้สอนเราไว้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกก่อนที่จะทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายอีก , กิจการของอัครทูต 17:24,26 “พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก .......... พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่”

    หลังจากการทรงสร้าง มนุษย์นั้นไม่มีความบาปทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกก็ “ดีนัก” (ปฐมกาล 1:31) เมื่อมนุษย์คนแรกได้กระทำบาป (ปฐมกาล บทที่3) จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการล้มลงของมนุษย์ และเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆ , เกิดการเจ็บป่วย , การตาย และแม้แต่สัตว์โลกที่มีความบาปต่อพระเจ้า ( เพราะพวกมันไม่มีหลักศีลธรรม) พวกมันก็ต้องทนทุกข์และต้องตาย ( โรม 8:19-22) พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปให้กับเรา เมื่อทรงเสด็จกลับมาพระองค์ก็จะทรงลบล้างสิ่งชั่วร้ายต่างๆที่เข้ามาในมนุษย์ตั้งแต่สมัยของอดัม และจะทรงเอาคำสาปต่างๆออกไป (วิวรณ์21-22) ให้จำไว้ว่า ในโรม 8:19-22 กล่าวว่า ทุกสิ่งที่ทรงสร้างได้รอเวลานี้อย่างใจจดจ่อ และสำคัญมากที่จะจำไว้ว่า พระคริสต์ได้มาในโลกใบนี้เพื่อที่จะตาย , เพื่อที่จะตายเพื่อมนุษย์ และทรงตายเพียงครั้งเดียว (ฮีบรู 7:27 ; 9:26-28 ; 10:10)

    ให้เรามาดูความจริงอย่างง่ายๆด้วยกัน: พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และโลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่สิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลายต้องรับทุกข์สาเหตุมาจากการล้มลงของมนุษย์ พระคริสต์ทรงลงมาในโลกใบนี้เพื่อที่จะให้พระองค์เป็นผู้เดียวที่จะไถ่บาปให้กับเรา ไม่เพียงแต่ผู้เชื่อเท่านั้นที่จะได้รับการไถ่บาป แต่ทุกสิ่งที่ทรงสร้างก็จะได้รับการไถ่ด้วย

    ความเกี่ยวพันกัน : หากทุกสิ่งที่ทรงสร้างต้องทนทุกข์นั้นก็หมายความว่าทุกสิ่งที่มีชีวิตที่ไม่ได้อยู่ในโลกก็ต้องทนทุกข์ด้วย ถ้ามีหลักศีลธรรมต่างๆจริงในดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขาก็จะต้องทนทุกข์ด้วย หากวันนี้ยัง สักวันพวกเขาก็จะต้องทนทุกข์เมื่อทุกสิ่งได้จากไปด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ (2เปโตร 3:10) หากพวกเขาไม่เคยมีความบาปเลยแสดงว่าพระเจ้าก็ไม่ทรงยุติธรรมที่จะลงโทษพวกเขา แต่หากพวกเขามีความบาป และพระคริสต์ได้ตายเพียงครั้งเดียว (เหมือนอย่างที่ทรงสิ้นพระชนม์บนโลก) แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในความบาปอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่ตัวตนของพระเจ้าอย่างแน่นอน (2เปโตร 3:9) ฝากให้เราคิดถึงการขัดแย้งของปัญหาที่แก้ไม่ได้นี้ แต่หากแก้ปัญหานี้ไม่ได้นั้นก็เพราะว่า มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงนอกจากโลกใบนี้

    แล้วอะไรเป็นรูปแบบชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไม่มีสิ่งใดมีชีวิตและความรู้สึก? มีสาหร่าย หมาหรือแมวที่อยู่ในดาวเคราะห์ดวงอื่นที่เราไม่รู้จักหรือไม่? เมื่อไรก็ตามที่เราพยายามจะตอบคำถามที่ว่า “ตั้งแต่ทุกสิ่งที่ทรงสร้างนั้นได้ทนทุกข์ อะไรคือเป้าหมายที่พระเจ้าให้การทนทุกข์ต่อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ที่อยู่บนดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกล? มันก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย

    ในท้ายนี้ พระคำภีร์ไม่ได้ให้เหตุผลในการที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อว่ายังมีสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่ไหนสักแห่งในจักรวาลนี้อยู่หรือไม่ แต่จริงๆแล้วพระคำภีร์ได้ให้เหตุผลกับเรามากมายที่จะบอกว่ามันไม่มีอยู่จริง ใช่ อาจจะมีสิ่งที่แปลกและไม่สามารถที่จะอธิบายได้อยู่ในที่ต่างๆมายมาย แต่มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เราเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวหรือยูเอฟโอ ถ้าหากมีคนที่เห็นด้วยกับเหตุการณ์ที่ไม่จริงเหล่านี้เค้าจะต้องพิจารณาถึงพื้นฐานฝ่ายวิญญาณ และความเชื่อของเขาเอง



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • มีสิ่งต่างๆเช่นมนุษย์ต่างดาวหรือยูเอฟโอไหม?
  • คริสเตียนตีความความฝันได้หรือไม่? ความฝันของเรามาจากพระเจ้าไหม?




    คำถาม: คริสเตียนตีความความฝันได้หรือไม่? ความฝันของเรามาจากพระเจ้าไหม?

    คำตอบ:
    GotQuestions.org ไม่ใช่ให้บริการตีความหมายผ่านทางความฝันของคริสเตียน เราไม่ตีความจากความฝัน เรามีความเชื่ออย่างแท้จริงว่าความฝันของแต่ละคนและความหมายของความฝันนั้นย่อมขึ้นอยู่ระหว่างตัวเค้าเองกับพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้ายังทรงตรัสผ่านทางความฝันไหม? พระเจ้าได้ตรัสกับผู้คนหลายต่อหลายครั้งจากพระคำภีร์ผ่านทางความฝัน เช่นตัวอย่างของโจเซฟบุตรของยาโคบ (ปฐมกาล 37: 5-10) โจเซฟสามีของนางมารี (มัทธิว 2:12-22) กษัตริย์โซโลมอน (1 พงศ์กษัตริย์ 3:5-15) และคนอื่นๆอีกหลายคน (ดาเนียล 2:1 ; 7:1 ; มัทธิว 27:19) ยังมีคำพยากรณ์ของผู้พยากรณ์โยเอล (โยเอล 2:28) กล่าวอ้างโดยอัครทูตเปโตรใน กิจการของอัครทูต 2:17 ซึ่งพูดถึงการที่พระเจ้าทรงตรัสผ่านทางความฝัน ดังนั้นคำตอบง่ายๆก็คือ ใช่ , พระเจ้าสามารถตรัสผ่านทางความฝันได้

    อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความแตกต่างที่เราจะนำความจริงข้อนี้มาปฏิบัติในปัจจุบัน สิ่งที่เราต้องจดจำไว้อยู่เสมอคือพระคำภีร์ได้สมบูรณ์แล้วและได้ครอบคลุมในสิ่งที่เราต้องการจะรู้ไว้หมดแล้วตั้งแต่วันนี้จนชั่วนิรันดร์ ซึ่งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะไม่ทรงตรัสหรือทำการอัศจรรย์ผ่านทางความฝันอีกแล้ว ความแตกต่างก็คือพระเจ้าได้ทรงแสดงหนทางของพระองค์เพื่อมนุษยชาติให้เราเห็นแล้วนับแต่ปัจจุบันจนถึงนิรันดร – ในพระคำภีร์ในทุกสิ่งที่ทรงตรัส ไม่ว่าจะผ่านทางความฝัน , ทางวิสัยทัศน์ กระทั่ง “เสียงแว่ว” ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ปรากฏอยู่ในพระคำร์ของพระเจ้าด้วย ความฝันไม่สามารถมีอำนาจเหนือพระคำภีร์ได้ หากพระเจ้าจะตรัสผ่านทางความฝัน ข้อความของพระองค์จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อความฝันนั้นได้สอดคล้องกับพระคำภีร์ เรารู้ได้อย่างแน่ว่าพระเจ้ายังคงตรัสกับเราผ่านทางความฝันอยู่เสมอ ในเวลาเดียวกันเราก็ไม่ควรที่จะสรุปเอาความฝันที่ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานของพระคำภีร์

    หากคุณมีความฝัน และรู้สึกว่าพระเจ้าทรงตรัสกับคุณจริงๆ ขอให้อธิษฐานอย่างจริงจังและตรวจดูพระคำของพระเจ้าและให้แน่ใจว่าความฝันของคุณนั้นสอดคล้องกับพระคำภีร์ การอธิษฐานอย่างจริงจังจะทำให้คุณพิจารณาได้ว่าพระเจ้าต้องการให้คุณตอบสนองต่อความฝันนั้นอย่างไร (ยากอบ 1:5) ในพระคำภีร์มีอยู่ว่า เมื่อไรก็ตามที่บางคนนั้นได้มีประสบการณ์ฝันที่มาจากพระเจ้า พระเจ้าก็จะให้เราได้รู้ความหมายที่ชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะทรงตรัสกับบุคคลโดยตรง , ผ่านทางทูตสวรรค์ หรือจากพระคำภีร์ (ปฐมการ 40:5-11 ; ดาเนียล 2:45 ; 4:19) เมื่อพระเจ้าตรัสกับเรา พระองค์จะทรงให้เราเข้าใจข้อความจากความฝันนั้นอย่างชัดเจนแน่นอน



    กลับสู่หน้าภาษาไทย

  • คริสเตียนตีความความฝันได้หรือไม่? ความฝันของเรามาจากพระเจ้าไหม?